บทที่ 122 อะไรที่เรียกว่าบ้าระห่ำ
เทพที่เผ่าเงือกบูชาชื่อว่าจวีอิง
เพียงแต่เทพเจ้าคำเรียกคำนี้เป็นคำเรียกที่เผ่าเงือกตั้งให้เนื่องจากต่ำต้อยและเคารพ ความจริงแล้วมันเป็นแค่สิ่งมีชีวิตประเภทเทพที่ลึกลับในใต้ทะเลลึกตัวหนึ่งก็เท่านั้น
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น สิ่งมีชีวิตประเภทเทพที่สามารถหลับอยู่ใต้ทะเลลึกได้ ตัวมันเองก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ความลึกลับของพวกมัน เผ่าพันธุ์มากมายไม่สามารถจินตนาการได้ และความยิ่งใหญ่ของมันยิ่งเป็นเช่นนั้น
ก่อนหน้าที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้ายังไม่มาเยือน แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์และทะเลโอฬารที่อยู่รอบๆ แม้จะมีอสูรทะเลอาศัยอยู่เช่นกัน แต่สู้ในปัจจุบันนี้ไม่ได้เลย จวบจนการมาเยือนของเสี้ยวหน้าเทพได้เปลี่ยนแปลงสรรพสิ่งทั้งปวง
ดังนั้นในแต่ละที่จึงเริ่มทยอยมีสิ่งมีชีวิตที่มีกลิ่นอายดั้งเดิมของเสี้ยวหน้าเทพเจ้าบนท้องฟ้าประเภทนี้ปรากฏขึ้น สิ่งมีชีวิตประเภทนี้ถูกเรียกว่าสิ่งมีชีวิตประเภทเทพเจ้า
และร่างต้นของพวกมันเคยมีกลุ่มเผ่าพันธุ์ศึกษาค้นคว้ามาก่อน เหมือนว่าจะเกิดจากสิ่งประหลาดในพื้นที่ต้องห้ามที่เกิดการวิวัฒนาการ
จวีอิงก็เป็นหนึ่งในนั้น
กระทั่งว่าสำหรับมนุษย์ทั่วไปแล้ว มัน…นับว่าเป็นเทพเจ้าแล้วจริงๆ
สิ่งมีชีวิตประเภทเทพชนิดนี้ ในหลายศักราชนี้ยืนอยู่จุดสูงสุดมาโดยตลอด เผ่าพันธุ์เล็กๆ นับไม่ถ้วนบูชาเป็นเทพเจ้า ต่อให้เป็นเผ่าพันธุ์ใหญ่ก็ยังต้องหวาดเกรง
เพียงแต่ ในวันนี้หลังจากที่ผ่านมาหลายศักราช เผ่าพันธุ์ที่ดิ้นรนอยู่รอดมาได้ในโลกใบนี้ล้วนมีวิธีต่อต้านสิ่งมีชีวิตประเภทเทพแตกต่างกันไป
กระทั่งว่าบางเผ่าพันธุ์สามารถสะกดสิ่งมีชีวิตประเภททั่วไปได้ และยิ่งมีเผ่าพันธุ์ใหญ่ๆ สามารถสู้กับราชาของแดนต้องห้ามในโลกใบนี้ได้
ส่วนเผ่ามนุษย์แม้จะกระจัดกระจาย แต่เดิมก็เป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ใหญ่
ตอนนี้ ในเสี้ยวพริบตาที่จวีอิงที่อยู่ใต้ทะเลก้าวเท้าท่ามกลางเสียงดังครืนครันของผิวน้ำมายังเกาะเงือก นายท่านเจ็ดยืนอยู่บนเรือศึกบรรพกาลกลางท้องฟ้าเหนือเกาะเงือก ก็ก้มหน้ามองไปยังทะเลลึก
“เจิ้งข่ายอี้ เมื่อจวีอิงมาเยือนจะต้องเกิดพายุฝนคาวเลือดเป็นแน่ สำนักเจ้ากับเผ่าข้าไม่จำเป็นต้องทำสงครามกันเช่นนี้ พวกเราคือพันธมิตร เผ่าข้ายินดีเป็นพันธมิตรต่อไป ทั้งยังจะมอบสิทธิทั้งหมดให้ กระทั่งว่าเผ่าเราช่วยพวกเจ้าโจมตีเผ่าสิงซากสมุทรได้” บรรพจารย์เผ่าเงือกที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้ลมหายใจหอบถี่ รีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เผ่าเจ้าคุกเข่าช้าเกินไป” นายท่านเจ็ดตอบเสียงราบเรียบ ไม่สนใจบรรพจารย์เผ่าเงือก เพียงสะบัดมือเสียงก็ดังไปทั่วทุกสารทิศ
“อัญเชิญธงศึกเผ่ามนุษย์!”
เพียงพูดออกมา กิ้งก่ายักษ์กินเนื้อบรรพกาลที่แปลงมาจากเรือศึกบรรพกาลใต้ร่างก็เงยหน้าคำรามทันที ผู้อาวุโสทั้งสิบสามที่อยู่รอบๆ ต่างก้มหน้า สีหน้าเคารพนอบน้อม ผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานกว่าร้อยคนก็เช่นเดียวกัน
ท่ามกลางการเคารพนอบน้อมของพวกเขา จากเสียงคำรามของกิ้งก่ายักษ์กินเนื้อบรรพกาล บนสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดที่หลังของมัน ก็มีธงมหึมาผืนหนึ่งลอยขึ้นทันที
ธงผืนนี้มีขนาดถึงร้อยจั้ง มีรอยเปรอะเปื้อนด้วยเลือดมากมาย ดูทรุดโทรมนัก เหมือนจะเป็นแค่มุมหนึ่งจากธงผืนใหญ่ทั้งผืน
ตอนนี้รับลมปลิวสะบัด รังสีอำมหิตร้ายกาจสะเทือนฟ้าดินกลุ่มหนึ่งปะทุออกมาจากธงนั้น
ความแข็งแกร่งของกลิ่นอายนี้ทำให้ท้องฟ้าเหมือนจะแข็งค้างไป คลื่นทะเลเหมือนถูกสะกดนิ่ง
เหมือนว่าสามารถสะกดบรรพกาล สะกดเผ่าพันธุ์ทั้งหลาย สะกดทุกสรรพสิ่ง ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเทพก็ยังต้องก้มหัวให้เมื่ออยู่ต่อหน้ามัน
เลือดที่เปรอะเปื้อนบนธงยิ่งแผ่คุณสมบัติเทพที่รุนแรงกว่าเดิมออกมา เหมือนว่าสิ่งมีชีวิตประเภทเทพที่ถูกฆ่าบนธงผืนนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะในรอยเลือดที่เปื้อนเหล่านั้นมีเลือดสีทองที่บริสุทธิ์มากๆ หยดหนึ่งด้วย
รอยเลือดหยดนี้ทำให้คนรู้สึกเหมือนเหนือกว่าคุณสมบัติเทพ ใกล้เคียงกับความรู้สึกของเสี้ยวหน้าเทพเจ้ามากเหลือเกิน!
“ธงศึกเผ่ามนุษย์ สำนักเจ็ดเนตรโลหิตไม่มีทางมีของวิเศษสุดยอดเผ่ามนุษย์ประเภทนี้ได้ ต่อให้เป็นแค่มุมเดียวก็ตาม…นี่เป็นวัตถุของพันธมิตรเจ็ดสำนักของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์!!” บรรพจารย์เผ่าเงือกหน้าซีดเผือดไปในทันที เนื้อตัวสั่นสะท้านร้องเสียงหลงสิ้นหวัง
ในตอนที่เสียงร้องน่าสังเวชของบรรพจารย์เผ่าเงือกสะท้อนก้อง พลังกดดันกลุ่มหนึ่งก็ปะทุขึ้นทันทีตามการปลิวสะบัดของธงศึก มีนิ้วมายาข้างหนึ่งยื่นออกมาจากในนั้น
นิ้วนี้แฝงด้วยพลังวันเวลามหาศาล เหมือนลอยขึ้นมาจากแม่น้ำบรรพกาล จากการปรากฏขึ้นของธงศึก มันไม่ได้แผ่พลังกดดันใดๆ ออกมาทั้งสิ้น แต่กลับทำให้คนที่มองเห็นจิตใจว่างเปล่าไปในเสี้ยวพริบตาทุกคนทันที
เหมือนว่านิ้วนี้เป็นตัวแทนของกฎสวรรค์ ตอนนี้มันกำลังค่อยๆ ยื่นออกมาช้าๆ แหวกผ่านอากาศมายังทะเล แล้วกดลงมาเบาๆ
ทันใดนั้นพื้นที่บนผิวน้ำแสนลี้ก็ระเหยเป็นไอทันที เกิดเป็นถ้ำขนาดมหึมา เผยให้เห็นร่างของจวีอิงที่คำรามอย่างดุร้ายในนั้น
รยางค์ทุกเส้นบนตัวมันลืมตาขึ้นมาพร้อมกัน คิดจะต้านทานแต่ก็ไร้ประโยชน์ รยางค์ก็แหลกสลายไปกว่าครึ่งท่ามกลางเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว เสื้อคลุมยาวกระดูกปลาบนตัวมันก็ฉีกขาดเป็นชิ้นๆ เช่นกัน ลิ้นที่อยู่ข้างหลังแห้งเหี่ยวไป การเน่าเปื่อยทั่วทั้งตัวเร่งความเร็วขึ้นในพริบตา
ร่างครึ่งหนึ่งยิ่งระเบิดกลายเป็นเลือดเนื้อมหาศาลกระเด็นไปทั่ว ครึ่งร่างที่เหลือถอยหลังไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงหวีดแหลมโหยหวนที่ดังไปทั่ว หนีไปยังจุดลึกของทะเล!
ภาพนี้เกาะเงือกสามเกาะอื่นไม่เห็น มีเพียงเกาะจวีอิงเท่านั้น เนื่องจากค่ายกลอ่อนแอเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขาอยู่แล้ว ดังนั้นผู้บำเพ็ญบนเกาะจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน
แต่ลูกศิษย์ที่อยู่โลกใต้ทะเลนั้นมองไม่เห็น
นอกเสียจากใช้วิชาพิเศษ หรือของวิเศษอัศจรรย์อะไรบางอย่างมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นข้างนอก
ยกตัวอย่างเช่น…เนตรจิต
ตอนนี้ สวี่ชิงที่อยู่ในศาลเจ้าในโลกใต้ทะเลตาเบิกโพลงจ้องเนตรจิตที่อยู่ข้างหน้าตาไม่กะพริบ จิตใจเกิดคลื่นอารมณ์ซัดโหม
ในดวงตาข้างนี้สะท้อนเรือศึกบรรพกาลที่อยู่บนท้องฟ้าและธงผืนนั้นให้เห็น และยิ่งสะท้อนภาพการระเหยเป็นไอของผิวทะเลแสนลี้และร่างของจวีอิงที่แหลกสลายหลังจากที่นิ้วข้างนั้นกดลงมาอีกด้วย
แต่ว่านี่เป็นขีดจำกัดสูงสุดของเนตรจิตแล้ว เสี้ยวพริบตาต่อมา ตาข้างนี้ก็ไม่อาจรับความน่ากลัวของภาพที่สำรวจเห็นได้อีกต่อไป ก็ระเบิดขึ้นทันที
และในเสี้ยวพริบตาที่ระเบิด ทางนายกองก็ทำเรื่องใหญ่ที่ทำให้สวี่ชิงใจสั่นสะท้าน และทำให้จางซานเบิกตาโพลงอ้าปากกว้างออกมา
เขาหยิบเอาก้อนเนื้อชุ่มเลือดแดงฉานขนาดเท่าฝ่ามือออกมาชิ้นหนึ่ง แล้วกดไปยังรูปปั้นจวีอิงที่อยู่ข้างๆ


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา