บทที่ 14 อันตรายรอบด้าน
‘ผลึกวารีสีม่วงคืออะไรกันแน่ แล้วก็เงาของจิตแห่งความชั่วร้ายนั่นอีก มันคืออะไรกัน แล้วการหายไปของจุดกลายพันธุ์เกี่ยวข้องกับมันหรือไม่’
สวี่ชิงคิดไม่ตก ขณะที่กำลังครุ่นคิดวิเคราะห์ ร่างของพวกหัวหน้าเหลยก็ทยอยเดินกลับมาที่เขา ขณะที่ทุกคนเดินผ่านก็ล้วนจ้องมองมาทางเขา
สวี่ชิงหยุดความคิด ในดวงตาเปล่งประกาย
ไม่ว่านั่นจะเป็นอะไร เวลานี้ยังไม่สำคัญ
หลังจากพักผ่อน ก็จะวนมาถึงรอบของเขาแล้ว
สวี่ชิงลุกขึ้นยืน หยิบเหล็กแหลมมาเช็ดถูบนตัว หลังจากมันกลับมาเปล่งประกายอีกครั้ง พริบตาที่กางเขนเดินผ่านตัว เขาก็พุ่งออกไปอย่างฉับพลัน
เพียงพริบตาก็เข้าไปใกล้กับฝูงหมาป่าที่ไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว
เสียงฆ่าสังหาร เสียงกรีดร้องปนเปอยู่ด้วยกัน ราวกับเป็นพิธีศีลจุ่มของเด็กหนุ่มอย่างไรอย่างนั้น
เขาที่เป็นผู้โชคดีจากการลืมตาของเทพเจ้าและเอาชีวิตรอดมาจากฝนเลือดมาได้ สิ่งที่ค่อยๆ ขัดเกลามาเริ่มส่องประกายท่ามกลางแสงตะวันยามเย็นที่สาดส่องอยู่!
ครั้งนี้ เขายืนหยัดได้นานกว่าเดิม
และเวลาก็ค่อยๆ ผ่านไปพร้อมกับกลุ่มสายอัสนีหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันเข้ามาต้านทานอย่างต่อเนื่อง
แสงตะวันลับหาย จันทร์กระจ่างลอยสูงเด่น ม่านราตรีในพื้นที่ต้องห้ามมาเยือน แต่เสียงของการสังหารยังคงดำเนินต่อ
จนกระทั่ง…ตอนที่ความเหนื่อยล้าของพวกเขามาถึงขีดสุด ลูกกลอนขาวเองก็กินไปจนหมด ความเข้มข้นของไอพลังประหลาดในร่างกายใกล้จะไปถึงจุดที่จะกลายพันธุ์ รุ่งอรุณก็มาถึง
ในที่สุดฝูงหมาป่าก็เริ่มล่าถอย
หมาป่าเกล็ดดำตัวสุดท้ายในป่าพื้นที่ต้องห้ามจ้องมองพวกเขาอย่างเหนื่อยล้าผาดหนึ่ง จากนั้นก็หายลับไป รอบด้านค่อยๆ กลับมาสงบอีกครั้ง จากการที่แสงอรุณสาดส่อง
ขณะที่บนตัวคนทั้งหมดล้วนมีเลือดหนาข้นเกรอะกรังอยู่ นอนพังพาบกันอยู่บนพื้น หอบหายใจหนักๆ
สวี่ชิงเองก็ไม่เว้น ต่อให้มีการฟื้นฟูของผลึกวารีสีม่วง แต่ความตึงเครียดที่มาจากจิตวิญญาณก็ทำให้เขาเหนื่อยล้าอ่อนเพลียไปทั้งตัว
“ในที่สุด…ก็รอดแล้ว” เขี้ยวหงส์ที่อยู่ข้างๆ งึมงำเสียงเบา พยุงกายลุกขึ้น เมื่อเห็นสวี่ชิงก็เอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า
“ขอบคุณนะ”
ผีเถื่อนเองก็หอบหายใจแฮ่ก ยกนิ้วหัวแม่โป้งมาทางสวี่ชิง
การลงมือและระยะเวลาที่ออกไปสังหารในคืนนี้ของสวี่ชิงมีมากกว่าหัวหน้าเหลยและกางเขนเสียอีก กระทั่งพูดได้ว่าถ้าหากไม่มีเขา เกรงว่าฝูงหมาป่ายังไม่ทันได้ล่าถอย พวกเขาก็คงจะกลายพันธุ์ไปหมดแล้ว
มีเพียงสวี่ชิงที่ยังนอนหงายมองท้องฟ้า ขณะที่เหนื่อยล้าในใจก็ยังรู้สึกงงงันอยู่ลึกๆ
การต่อสู้ในคืนนี้ ความเร็วการสะสมของไอพลังประหลาดในร่างกายเขาช้าลงกว่าก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน
กระทั่งเขามีความรู้สึกเหมือนกับว่าไอพลังประหลาดของตนเองกำลังสลายหายไปเองในทุกเวลาทุกช่วงขณะ
และขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อน หัวหน้าเหลยก็นวดหว่างคิ้ว กวาดสายตาเคร่งขรึมมายังพวกของกางเขนเอ่ยขึ้นเสียงแหบพร่า
“เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นเรื่องบังเอิญ การไล่กวดอย่างต่อเนื่องของหมาป่าเกล็ดดำเช่นนี้ ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังดึงดูดพวกมัน ดังนั้นพวกเจ้าเอาสิ่งของที่ได้รับมาในช่วงนี้ออกมาวางให้หมด พวกเราจะตรวจสอบอย่างละเอียด ข้าสงสัยว่าเรื่องนี้…น่าจะมาจากฝีมือคน”
พวกของกางเขนก็เหมือนจะรู้สึกเช่นนั้นตามคำพูดของหัวหน้าเหลย จึงทยอยตรวจสอบตนเอง ล้วงเอาสิ่งของออกมาวางด้านนอก
สวี่ชิงเองก็ใจเต้นตึกตัก ขณะที่เขากำลังใคร่ครวญว่าจะใช่เหล็กก้อนนั้นที่ได้มาจากหม่าซื่อหรือไม่ เขี้ยวหงส์ที่อยู่ข้างๆ ก็ส่งเสียงตกตะลึงออกมา ชี้ไปทางผีเถื่อน
หนึ่งในของที่ผีเถื่อนหยิบออกมามีกล่องไม้ใบหนึ่ง
กล่องไม้ดูผุพังเหมือนกำลังสูญสลายด้วยตัวเองและมีกลิ่นอายจางๆ แผ่ออกมา เนื่องจากในป่าพื้นที่ต้องห้ามมีกลิ่นที่ซับซ้อน ดังนั้นถ้าไม่ลองดมดูอย่างละเอียด ก็แยกแยะได้ยากมาก
“เจ้านี่ทำไมมันถึงสูญสลายด้วยตัวเองล่ะ” ผีเถื่อนประหลาดใจ
หัวหน้าเหลยรุดหน้ามาทันที หลังจากถือกล่องไม้นี้ขึ้นก็ส่งต่อไปให้กับเขี้ยวหงส์ดมดูอย่างละเอียด จากนั้นจึงพยักหน้าด้วยสีหน้าปั้นยาก
“ของสิ่งนี้ เจ้าได้มาจากที่ใดหรือ” หัวหน้าเหลยมองไปทางผีเถื่อน
“ข้าซื้อมาจากแผงลอยวันที่ข้ากลับมาฐานที่มั่นวันนั้น ด้านในมีผงไล่แมลงอยู่…” ผีเถื่อนเกาหัว
“นี่เป็นสิ่งที่ทำมาจากมูลของกระต่ายผีเสื้อ เมื่อเจอเข้ากับการกระตุ้นของโลกภายนอกก็จะจุดติดเผาไหม้ขึ้นเอง สามารถดึงดูดสิ่งมีชีวิตประเภทเกล็ดได้…หมาป่าเกล็ดดำ ก็ถือเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเกล็ดชนิดหนึ่ง”
เขี้ยวหงส์มองผีเถื่อนเอ่ยขึ้นแช่มช้า
ผีเถื่อนบื้อใบ้อยู่ตรงนั้น
บรรยากาศรอบด้านเองก็แข็งค้างไปพักหนึ่ง สวี่ชิงเองก็หรี่ตาลงมาเช่นกัน
จนผ่านไปครู่หนึ่ง หัวหน้าเหลยจึงส่ายหัว
“ผีเถื่อนเจ้าถูกหลอกแล้ว และคนที่จะวางกับดักใส่พวกเราเช่นนี้ในฐานที่มั่น แค่คิดรู้แล้วว่าใคร”
“กลุ่มเงาโลหิต!” กางเขนอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา
“กลุ่มเงาโลหิตวางแผนเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้เลยว่าจะไม่มีแผนอื่นอีก และพวกเราเวลานี้สภาพก็ย่ำแย่มาก…” เขี้ยวหงส์เอ่ยขึ้นอย่างลังเล
“เช่นนั้น จะเดินต่อไปยังสถานที่เก็บเกี่ยวเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จหรือว่าจะถอย พวกเจ้าว่าอย่างไร” หัวหน้าเหลยเงยหน้าขึ้นมองจุดที่ห่างออกไป ส่งเสียงออกมาแช่มช้า
สวี่ชิงสายตาครุ่นคิด แต่ไม่พูดอะไร
คนอื่นก็จ้องมองกันและกัน สุดท้ายกางเขนจึงเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบากว่า
“หัวหน้า ที่นี่ห่างจากจุดเก็บเกี่ยวของพวกเราไม่ไกลเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนครั้งนี้ก็เสียหายกันหนักมาก ถ้ากลับไปมือเปล่าล่ะก็…”
หัวหน้าเหลยนิ่งงัน กวาดตามองไปทางผีเถื่อนกับเขี้ยวหงส์ คนหน้ากำลังก้มหน้าอย่างสำนึกผิด ส่วนคนหลังในดวงตาก็มีความไม่ยินยอม ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงถอนหายใจออกมาว่า
“เดินหน้าต่อเถอะ พอถึงจุดเก็บเกี่ยวก็รีบจัดการให้ไวที่สุด จากนั้นทุกคนก็แยกกันไปคนละทาง ต่างฝ่ายต่างออกไปกันเอง ไปรวมตัวอีกทีที่ฐานที่มั่น”
หัวหน้าเหลยทิ้งคำสั่ง หลังจากที่จัดการอย่างง่ายๆ ทุกคนก็ออกเดินตรงเข้าไปในป่าพื้นที่ต้องห้ามนี้อีกครั้ง
ระหว่างทาง สวี่ชิงเข้าประชิดเขี้ยวหงส์ หยิบอำพันที่ได้มาจากเจ้าอ้วนออกมา แล้วสอบถามขอความรู้จากนางว่าสิ่งนี้คืออะไร
หลังจากที่เห็นอำพัน เขี้ยวหงส์ก็ตกตะลึง รับไปตรวจสอบอย่างละเอียด จากนั้นจึงบอกกับสวี่ชิงว่าของสิ่งนี้คือหางพิษของแมงป่องหน้าผี
แมงป่องนี้มีพิษ แต่ไม่ใช่ว่าจะแก้พิษไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสรรพคุณทางยาที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย หลังจากที่ติดพิษจะสามารถระเบิดพลังแฝงของร่างกายออกมาได้ในพริบตา แต่ไม่สามารถอยู่ได้นาน หลังจากระเบิดจำเป็นต้องแก้พิษทันที ดังนั้นส่วนใหญ่จึงถูกคนเลี้ยงเอาไว้ มูลค่าไม่ธรรมดาเลย
สวี่ชิงเข้าใจแจ่มแจ้ง พอขอบคุณเสร็จก็เก็บมันลงมา
จากนั้นทุกคนจึงยังคงระแวดระวังอยู่เสมอ ตรวจสอบสภาพรอบด้านไปด้วย พุ่งทะยานต่อไปด้วย
เพียงแต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้าแล้ว ครั้งนี้พวกเขาสงบนิ่งยิ่งกว่าเดิม
บางทีอาจเพราะการปรากฏตัวของหมาป่าเกล็ดดำเมื่อวานนี้ ทำให้สัตว์ร้ายอื่นบริเวณนี้ถูกขับไล่ไปจนหมด
ดังนั้นกลุ่มสายอัสนีจึงไม่ได้พบกับอันตรายใดๆ ตลอดทาง เป็นเช่นนี้ไปสองชั่วยาม ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดเชื่อมเขตของวงนอกและส่วนลึกในพื้นที่ต้องห้าม
สภาพของที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ป่าไม้ แต่ยังปรากฏภูเขาเล็กๆ และลำธารอีกด้วย เพียงแต่ว่าน้ำในลำธารเป็นสีดำ นำมาดื่มไม่ได้
และในพื้นที่ที่เป็นป่ารกครึ้มแห่งหนึ่งซ่อนเส้นทางเล็กเส้นหนึ่งเอาไว้ ถ้ำอยู่ด้านในสุดทางเป็นหุบเขาเล็กแห่งหนึ่ง
ขณะที่พวกของสวี่ชิงเดินเข้าไปในหุบเขา สิ่งที่สะท้อนมาในสายตาของเขา ก็ราวกับเป็นโลกอีกใบ
ด้านบนของที่นี่ถูกเถาวัลย์ที่เติบโตอยู่รอบๆ ปกปิดไว้จนเหมือนเป็นหลังคาอย่างหนาแน่น แสงตะวันไม่สามารถส่องลอดลงมาได้ทั้งหมด และด้านในเองก็ไม่มีต้นไม้ใหญ่อยู่เลย มีก็แต่ดอกหญ้าอยู่ทั่วทุกที่
ดอกไม้ขนาดกำปั้นหลากหลายสีสันเบ่งบานไปทั่วทั้งหุบเขา และยังมีต้นหญ้าที่เปล่งแสงผลึกสีน้ำเงินอยู่ด้วยกันอีกมากมาย
ทุกต้นล้วนมีหญ้าเจ็ดใบอยู่ทั้งสิ้น
แสงที่พวกมันเปล่งออกมาราวกับดวงดาวพราวระยับ ทำให้หุบเขาที่สงบเงียบนี้ราวกับกลายเป็นท้องฟ้าที่เงียบงัน มีความรู้สึกสวยงามจับตาเป็นพิเศษ
ที่นี่ก็คือจุดเก็บเกี่ยวที่กลุ่มสายอัสนีค้นพบ และจุดเก็บเกี่ยวเช่นนี้ทุกจุดล้วนเป็นความลับสุดยอด เป็นรากฐานการใช้ชีวิตของกลุ่มต่างๆ เลยทีเดียว
หลังจากมาถึงที่นี่ เนื่องจากการเก็บเกี่ยวจำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ให้สวี่ชิงเข้าร่วม แต่กระจายกันไปเก็บเกี่ยวเอง แบบนี้ความเร็วจะไวกว่าและไม่มีความเสียหาย
สวี่ชิงสังเกตวิธีการของพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้ฝืนคิดจะเข้าร่วม แต่ไปนั่งขัดสมาธิลง ควบคุมลมหายใจเข้าออกอยู่เงียบๆ
เขาพบว่าพลังบำเพ็ญของตนเองเหมือนจะพัฒนาขึ้นต่อเนื่องไปไม่น้อยผ่านการต่อสู้เมื่อวานนี้ ปัจจุบันเหมือนอยู่ในจุดที่ใกล้จะทะลวงขั้นแล้ว
เพื่อให้สามารถตระเตรียมความพร้อมการเอาตัวรอดได้ดียิ่งขึ้นในอันตรายครั้งหน้า สวี่ชิงจึงไม่ปล่อยเวลาเสียเปล่า ต่อให้อยู่ในพื้นที่ต้องห้าม ก็ยังคงกระตุ้นเคล็ดคีรีสมุทรในร่างกาย ดูดรับเอาพลังวิญญาณรอบด้านเข้ามา
จากการหลั่งทะลักของพลังวิญญาณ ด้านในหุบผาจึงเกิดลมขึ้น
หัวหน้าเหลยมองไปทางสวี่ชิง ไม่ได้เข้าไปห้าม เขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่าในเส้นทางขากลับมีความเป็นไปได้มากว่าจะมีการซุ่มโจมตี การเติบโตของพลังในเวลานี้คือการรับประกันในการเอาชีวิตรอด
ผ่านไปไม่นาน ระหว่างที่พวกเขากำลังเก็บเกี่ยว ร่างกายของสวี่ชิงก็ค่อยๆ ส่งเสียงปึงปังออกมา
คราบสกปรกทั้งตัวของเขาไหลออกมาจากรูขุมขน ละลายเลือดข้นที่อยู่เกรอะกรังอยู่ทั่วตัวออก ขณะที่เลือดผสมปนเปเข้ากับคราบสกปรก เลือดเนื้อของเขาก็สูดรับเอาพลังวิญญาณอย่างรวดเร็ว ถูกชุบเลี้ยงจนแข็งแกร่งกว่าเดิม
จนถึงตอนที่เสียงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ถึงขีดจำกัดแล้วก็หยุดลงเฉียบพลัน หัวสมองสวี่ชิงมีเสียงครืนครันส่งออกมา



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา