บทที่ 15 ยามเย็นสีเลือด
สิ่งที่เขาเห็น คนที่ล้อมโจมตีหัวหน้าเหลยอยู่ก็คือกลุ่มเงาโลหิต!
บนท้องฟ้าเวลานี้ ตะวันยามเย็นคล้อยลงช้าๆ แสงระเรื่อที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าถูกม่านราตรีที่ห่างไกลเข้ามาแทนที่
ราวกับว่าอีกไม่นาน ความมืดก็จะปกคลุมทั้งผืนแผ่นดินใหญ่
และความเย็นระลอกหนึ่งที่เกิดขึ้นมาจากในความมืดก็ค่อยๆ แผ่ซ่านออกไปทุกทิศทาง
ป่าที่อยู่ท่ามกลางแสงโพล้เพล้ เป็นดั่งคนชราที่ยังดิ้นรน ปิดฉากลงอย่างไม่ยินยอม แสงของตะวันยามเย็นก็เหมือนจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลือมากนัก ลอดผ่านกิ่งไม้ใบไม้ที่หนาแน่นอย่างไร้เรี่ยวแรง ทั้งสลัวและเบาบาง
แต่สวี่ชิงที่ซ่อนตัวอยู่บนยอดไม้นั้นไม่ใช่ เขาจ้องมองสนามรบอย่างเย็นชา สะท้อนภาพทั้งหมดเอาไว้ในดวงตาที่เย็นเยียบ
กลุ่มเงาโลหิตมีทั้งหมดห้าคน ในสองคนนี้เป็นกำลังหลัก ส่วนอีกสามคนกระจายคอยปิดทางไว้รอบทิศ ป้องกันไม่ให้หัวหน้าเหลยหนี
พลังบำเพ็ญของคนด้านหลังล้วนอยู่ที่ระดับสามประมาณเขี้ยวหงส์ทั้งสิ้น
พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้มากเกินไป ล้อมอยู่วงนอก แต่ตัวตนของทั้งสามคน ก็ยังทำให้หัวหน้าเหลยจำใจต้องหันไปพะวงด้วย
ส่วนด้านหน้าสองคน คนหนึ่งคือคนที่บนร่างมีคลื่นพลังวิญญาณที่ระเบิดออกมาต่างกับหัวหน้าเหลยเพียงแค่เล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นระดับรวมปราณขั้นหก และเป็นชายชราเหมือนกัน
ผมเขากระเซิงและดวงตาที่ดุร้าย เสื้อผ้าบนตัวเวลานี้ขาดรุ่ย มองเห็นว่ากล้ามเนื้อทั้งร่างเหมือนจะปูดโปนระเบิดออกมา เป็นหัวหน้ากลุ่มเงาโลหิตที่กินเนื้อสุนัขสดๆ คนนั้นนั่นเอง
หัวหน้าเงาโลหิตเวลานี้เลียริมฝีปาก ลงมือดุจสายฟ้าฟาดไปด้วย และจับจ้องร่างของหัวหน้าเหลยที่เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำขึ้นอย่างเย็นชาไปด้วย
“วันนี้กลุ่มสายอัสนีจะถูกลบชื่อออกจากฐานที่มั่น หัวหน้าเหลย เจ้าปลิดชีพตัวเองทิ้งเสียดีกว่า ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นเหมือนผีเถื่อนที่สู้จนกลายพันธุ์ ตายไปก็ศพไม่สวย ไร้เกียรติเสียเหลือเกิน หากเจ้าปลิดชีพตัวเองทิ้ง กลุ่มของเจ้าข้าจะดูแลให้เป็นอย่างดี”
“ถูกต้อง หัวหน้าเหลยวางใจเสียเถิด หลังจากเจ้าตายไป คนอื่นๆ ในกลุ่มสายอัสนี พวกเราจะดูแลอย่างดี รสชาติของเขี้ยวหงส์คนนั้นข้าเองก็อยากจะลองมานานแล้ว แล้วก็เจ้าเด็กน้อยที่เจ้าพากลับมาคนนั้น ขายไปเป็นคนเลี้ยงของวิเศษก็น่าจะพอได้ราคาอยู่”
เสียงที่เอ่ยขึ้นหลังจากเสียงของหัวหน้าเงาโลหิต เป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังล้อมโจมตีหัวหน้าเหลยด้วยกันอยู่ข้างๆ
คนผู้นี้เป็นชายวัยกลางคน หน้าตาน่าเกลียด แผ่นหลังปูดนูนขึ้นมาอย่างผิดรูป ดวงตาบอดไปข้างหนึ่ง และในดวงตาที่เหลืออยู่ข้างเดียวนั้นเวลานี้ก็มีแววกระหายเลือด คลื่นพลังวิญญาณร่างกายแม้จะยังสู้หัวหน้ากลุ่มไม่ได้ แต่กลับนำหน้ากางเขนในความทรงจำของสวี่ชิงไปแล้ว อยู่ที่ระดับรวมปราณขั้นห้า
แต่ยังไม่มั่นคงนัก เหมือนเพิ่งทะลวงขั้นได้ไม่นาน
หัวหน้าเหลยที่เผชิญหน้ากับการท้าทายด้วยคำพูดของคนทั้งสองแม้ไร้สีหน้าแต่ในดวงตาของเขาก็เหมือนมีปณิธานที่จะตายอยู่แล้ว ลงมืออย่างรวดเร็วรุนแรง
ชั่วขณะหนึ่งทำให้เงาโลหิตสองคนที่ไม่ยอมสังหารหัวหน้าเหลยแต่ทำให้เขาบาดเจ็บหนักยังต้องถอยออกเล็กน้อย เริ่มเดินคุมเชิง
เห็นได้ชัดว่าในใจมั่นใจว่าชนะแน่แล้ว ดังนั้นจึงเตรียมตัวที่จะยื้อให้อีกฝ่ายต้องตายทั้งเป็น
“คนหนึ่งขั้นหก คนหนึ่งขั้นห้า อีกสามคนขั้นสาม!” จิตสังหารในดวงตาสวี่ชิงดุดัน อันที่เขาจะหนีไปเลยก็ได้ แต่เขาเป็นคนให้ความสำคัญกับบุญคุณคน หัวหน้าเหลยดีกับเขามาโดยตลอด ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่คิดจะหนีไป แต่กวาดมองสนามรบรวมไปถึงสภาพแวดล้อมรอบด้านอย่างรวดเร็ว
ที่นี่ไม่ได้กว้างนัก มีต้นไม้อยู่ไม่น้อย แสงก็สลัว จุดทึมทึบมีอยู่มากมายเหมาะที่จะลงมือ
หลังจากใคร่ครวญในใจ ดวงตาสวี่ชิงที่นั่งยองอยู่บนยอดไม้ก็ระเบิดจิตสังหารออกมาในพริบตา
สองขาของเขาเหยียบแรงๆ บนยอดไม้ ยืมกำลังพุ่งไปอย่างรวดเร็ว ร่างทั้งร่างกลายเป็นธนูที่ออกจากสายคันดอกหนึ่ง ประชิดเข้าใกล้อย่างฉับพลัน
พลังกายเนื้อที่เคล็ดคีรีสมุทรขั้นสามกับผลึกวารีสีม่วงบ่มเพาะสำแดงอย่างสมบูรณ์ในตอนนี้
ความเร็วของเขาทิ้งภาพเงาเอาไว้บนยอดไม้อย่างชัดเจน ทำให้คนที่อยู่ในสนามรบยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาใด ร่างของสวี่ชิงก็เข้ามาอยู่ในสนามรบเพียงชั่วพริบตา
ปรากฏที่ข้างๆ หนึ่งในสามคนที่อยู่วงนอก
นั่นเป็นชายหนุ่มร่างผอมเล็กคนหนึ่ง ในดวงตาสามเหลี่ยมยังสะท้อนเงาของหัวหน้าเหลยถูกล้อมโจมตีออกมาอยู่ ไม่ได้รู้สึกถึงการปรากฏตัวของสวี่ชิงเลยแม้แต่น้อย
จนตอนที่มีลมเย็นพัดวูบมา เขาจึงตกตะลึงเล็กน้อย ตอนที่กำลังจะหันหน้าไปมอง พริบตาต่อมา…เหล็กแหลมแท่งหนึ่งพร้อมพลังที่น่ากลัวแทงทะลุตำแหน่งขมับของเขาไปแล้ว
ไม่รอให้ศพล้มลง ไม่รอให้มีเสียงกรีดร้อง ร่างของสวี่ชิงไม่หยุดนิ่ง โน้มตัวใช้ฝ่าเท้าดีดตัวถอย ระเบิดความเร็ว พุ่งไปเบื้องหน้าอีกคนหนึ่งราวกับเสือชีตาร์
คนเก็บกวาดคนที่สองหน้าเปลี่ยนสี ม่านตาหดเล็กลง ขณะจะถอยฉาก สวี่ชิงก็เข้าใกล้แล้ว พลังกำปั้นที่น่าตกตะลึงของเคล็ดคีรีสมุทรขั้นสามซัดเข้ามาในพริบตา
อัดเข้าไปที่หน้าอกของเขาจนเลือดเนื้อยุบลงไปเหมือนโคลนในพริบตา แผ่นหลังระเบิดเลือดสด เสียงกระดูกแตกกร๊อบตามมา สวี่ชิงโบกมือซ้าย กริชที่มีพลังน่ากลัวถูกปล่อยออกไป วาดเป็นแนวยาว พุ่งเร็วขีดสุดไปยังคนที่สาม
ขณะที่กระดูกหน้าอกคนที่สองแตก หัวใจแหลกละเอียด แผ่นหลังระเบิด คนเก็บกวาดคนที่สามของวงนอก ก็เพิ่งจะได้สติขึ้นมา
ขณะที่เขากำลังจะเคลื่อนไหว แต่ตาก็ลาย ลมพัดมาวูบหนึ่ง ร่างของเขาก็แข็งทื่อ ดวงตาเบิกโพลง สัญชาตญาณของร่างกายทำให้เขาใช้กำลังเฮือกสุดท้ายยกมือขึ้น ลูบไปยังกริชเย็นเยียบที่แทงทะลุเข้าที่หว่างคิ้ว
พลังของกริชแข็งแกร่งมาก ทำให้รอบๆ หว่างคิ้วเขายุบลงไปเลยทีเดียว กะโหลกแตกเป็นเสี่ยง!
ทั้งหมดนี้ ล้วนเกิดขึ้นในชั่วสะเก็ดไฟของหินที่กระทบกันเท่านั้น
ความเร็วสวี่ชิงไวมาก ลงมือเด็ดขาดยิ่งกว่า ตอนนี้เพราะศพคนที่หนึ่งกับสามล้มลง คนที่กระดูกหน้าอกแตกละเอียดหัวใจเละไปแล้วด้านหน้าเขาคนนั้นก็เพิ่งจะล้มลง จนเปิดเผยร่างของเด็กหนุ่มออกมา
เด็กหนุ่มโค้งตัวลง ผมยาวสีดำปิดครึ่งหน้าด้านบนอยู่ แต่กลับปิดบังสายตาดุดันราวกับหมาป่านั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
เวลานี้เขาเงยหน้าขึ้น ประสานสายตาเข้ากับหัวหน้าเหลยที่กำลังตกตะลึงการลงมือของเขากับเงาโลหิตอีกสองคน
ลมทั้งสี่ด้าน ราวกับหยุดนิ่งลงในวินาทีนี้
สองตาที่เต็มไปด้วยปณิธานแห่งความตายของหัวหน้าเหลย ในที่สุดเวลานี้ก็เกิดระลอกคลื่น เขามองไปที่สวี่ชิงผาดหนึ่ง จู่ๆ ก็คำรามเสียงต่ำออกมา
“เด็กน้อย รีบหนีไป!”
สวีชิงไม่ฟังคำอ้อนวอนของหัวหน้าเหลย แต่จ้องเขม็งไปที่หัวหน้ากลุ่มเงาโลหิต ดวงตาหรี่ลงมา
เป็นครั้งแรกที่หัวหน้ากลุ่มเงาโลหิตได้เห็นสวี่ชิง โดยเฉพาะตอนที่กวาดตาไปมองร่างไร้วิญญาณสามร่างข้างๆ สวี่ชิง สีหน้าของเขาก็กระตุกเล็กน้อย เขาจำใจต้องยอมรับว่าตนเองประเมินกลุ่มสายอัสนีพลาดไปแล้วจริงๆ
ผีเถื่อนที่ไม่กลัวตายนั่นคือเรื่องที่หนึ่ง และเด็กน้อยที่ปรากฏตัวกะทันหันนี่คือเรื่องที่สอง
“สังหารเขาเสีย!”
หัวหน้ากลุ่มเงาโลหิตร้องเชอะเย็นชา ตัดสินใจไม่คิดจะประวิงการต่อสู้เพื่อเลี่ยงการบาดเจ็บอีกแล้ว
ขณะที่พูด กลิ่นอายทั้งตัวของเขาก็ระเบิดขึ้นมาฉับพลัน ซัดต่อยหัวหน้าเหลยไปหนึ่งหมัด พริบตานั้นก็เข้าต่อสู้กับหัวหน้าเหลยอย่างรุนแรงทันที
และชายกลางคนระดับรวมปราณขั้นห้าที่อยู่ข้างๆ คนนั้น ก็ยิ้มเหี้ยมเกรียมหันตัวพุ่งเข้าหาสวี่ชิง


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา