เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 140

บทที่140 ตกอสูร

พูดถึงสงคราม สวี่ชิงไม่เคยมีประสบการณ์ แต่เขาเคยเห็นสิ่งที่คล้ายๆ กันมาแล้ว

เพียงแต่ระดับชั้นมันห่างกันเหลือเกิน

สิ่งที่เขาเห็นคือเมืองเล็กที่ถ้ำยาจกตั้งอยู่ต่อสู้กับเมืองอีกแห่งหนึ่ง การต่อสู้ครั้งนั้นกินเวลาไปเจ็ดแปดวัน

‘แล้วสงครามของเจ็ดเนตรโลหิตกับโลกภายนอกจะกินเวลานานเท่าไรกัน’ ในหัวสมองสวี่ชิงปรากฏภาพการแข่งขันครั้งใหญ่ในเผ่าเงือกเป็นฉากๆ ออกมา นานพอดูจึงหลุบสายตาลง

มีประโยคหนึ่งที่นายกองพูดไว้ถูกต้อง เรื่องใหญ่เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควรกังวล เหล่าคนใหญ่โตของสำนักต่างหาก ถึงจะเป็นคนที่จะชี้นำเรื่องทั้งหมด

‘ถ้าข้าจะทำ นอกเสียจากว่าผลประโยชน์จะเพียงพอ ไม่เช่นนั้นก็จะไม่เข้าร่วมการรบแน่นอน’ สวี่ชิงหมุนตัวเดินกลับไปถ้ำพำนัก ตอนนั่งลงขัดสมาธิก็ล้วงเอาแผ่นหยกเคล็ดเลี้ยงชีวันออกมา

คัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณแม้จะเป็นวิชา แต่ส่วนใหญ่คือใช้การฆ่าสังหารมาฝึกบำเพ็ญ ดังนั้นในบางระดับจะบอกว่ามันเป็นวิชาเวทก็ใกล้เคียงอยู่มาก หลังจากฝึกบำเพ็ญไปเรื่อยๆ ก็จะมีกระบวนท่าวิชาเวทที่สอดคล้องกันจากการเปิดออกของช่องเวทอีกด้วย

แต่เคล็ดเลี้ยงชีวันนั้นแตกต่างออกไป มันใช้เพียงร่างกายของผู้บำเพ็ญมาทำการสูดและผ่อนปราณวิญญาณฟ้าดินเพื่อฝึกบำเพ็ญ คล้ายกับคัมภีร์แปรสมุทร ค่อยๆ ทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น เปิดช่องเวทไปทีละช่องๆ

ดังนั้นสวี่ชิงรู้สึกว่า ความคิดของตนเองก่อนหน้านี้ไม่ค่อยถูกต้องนัก สองวิชานี้อันที่จริงสามารถฝึกบำเพ็ญพร้อมกันได้ ใครจะเป็นหลักเป็นรองก็ไม่สำคัญ เพราะทั้งหมดในช่วงสร้างฐาน ล้วนเน้นการเปิดช่องเวทเพื่อสร้างไฟชีวิตเป็นหลักอยู่แล้ว

ขณะที่เขานั่งขัดสมาธิตอนนี้ ก็เริ่มฝึกบำเพ็ญเคล็ดเลี้ยงชีวัน

หนึ่งคืนผ่านไป

วันที่สอง สีท้องฟ้าเพิ่งสว่าง พริบตาที่ดวงตะวันแรกลอยขึ้น สวี่ชิงก็ลืมตาจากการที่แสงตะวันสาดลงมาราวกับเปลวเพลิงหลายสาย

เขาจัดเรียงอาวุธและผงพิษของตนเองรวมไปถึงของวิเศษอักขระที่ซื้อมาอย่างสงบครู่หนึ่ง จากนั้นจึงจัดการสะกดเงาอย่างที่ทำเป็นประจำ แล้วจึงเปิดประตูถ้ำพำนักออก มองเช้าวันใหม่ที่เมฆขาวฟ้าโปร่งไกลๆ สะท้อนสีแดงฉานราวกับเตาไฟกว้างใหญ่ไพศาล

‘ต้องเดินเรือออกทะเลไปสังหารอสูรทะเล รับเอาวิญญาณของพวกมันมาทะลวงช่องเวท’

ร่างกายสวี่ชิงเดินออกไป ย่ำขึ้นไปกลางอากาศ ใต้ร่างมีอสูรคอยาวบรรพกาลปรากฏออกมา ขณะเงยหน้าขึ้นคำรามครีบทั้งสี่ก็โบกไหวราวกับจะทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นมหาสมุทร ปลดปล่อยความเร็วที่น่าตกตะลึงพาสวี่ชิงทะยานตรงสู่เส้นขอบฟ้า

ทะเลไร้ขอบเขต คลื่นทะเลดำทะมึน

สีดำนี้เมื่อเทียบกับความสว่างของท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยสิ่งประหลาดเข้มข้นราวกับน้ำหมึก และเนื่องจากความลึกเกินหยั่งถึงและความไม่รู้ ทำให้คนอดเกิดความกริ่งเกรงอย่างแรงกล้าขึ้นมาในใจไม่ได้

แม้จะไม่ใช่การเดินเรือออกทะเลครั้งแรก แต่ตอนนี้อยู่เหนือท้องทะเล ในใจสวี่ชิงยังคงไม่แตกต่างจากที่เคยนัก กระทั่งระแวดระวังและระมัดระวังมากยิ่งขึ้น

เพราะในสำนักยังมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนอยู่ แต่ด้านนอกสำนักนั้น…จะเรื่องอะไรก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น

ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่ได้ห้อทะยานอย่างโอ้อวด แต่ล้วงเอาเรือเวทออกมา ขณะเดียวกันก็เปิดการอำพราง ทำให้เรือเวทของตนเองดูปกติอย่างมาก จากนั้นจึงนั่งลงขัดสมาธิบนดาดฟ้าเรือ รอบด้านมีเกราะคุ้มกันครอบลงมา

‘บนเรือยังสบายกว่าถ้ำพำนักเสียอีก’ สวี่ชิงนั่งอยู่บนเรือ ขณะที่ทอดถอนใจก็ควบคุมเรือเวทตรงไปยังพื้นที่ที่เขากำหนดไว้แล้ว

พื้นที่นั้น เขาเคยไปมาแล้ว คือจุดที่พบกับอสูรคอยาวบรรพกาลพร้อมกับเจ้าจงเหิงและติงเสวี่ยในครั้งนั้นนั่นเอง

เพราะเป้าหมายการล่าของเขา ก็คือ…อสูรคอยาวบรรพกาล

การเปิดช่องเวทต้องใช้วิญญาณ สวี่ชิงรู้สึกว่าตนเองในเมื่อตัดสินใจจะใช้วิญญาณของอสูรทะเลเป็นเชื้อฟืน เช่นนั้นอสูรคอยาวบรรพกาลที่เป็นอันตรายอย่างมากต่อตนเองในครั้งนั้น จึงเป็นตัวเลือกแรกไปโดยปริยาย

เพียงแต่เขาเองก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเจอตัวเดียวกัน แต่ที่นั่นมีอสูรคอยาวบรรพกาลปรากฏตัว ไปดูเสียหน่อยก็น่าจะดี

สวี่ชิงจึงเดินทางพลางฝึกบำเพ็ญเคล็ดเลี้ยงชีวันไปด้วย ไม่ยอมเสียเวลาเปล่าเลย ขณะเดียวกันก็เก็บดวงชีพอสูรคอยาวบรรพกาลของเขาเข้าช่องเวทด้วย

ถ้ากลิ่นอายดวงชีพอสูรคอยาวบรรพกาลของตนเองที่เป็นระดับสร้างฐานปรากฏตัว สวี่ชิงกังวลว่าด้วยนิสัยระมัดระวังตามสัญชาตญาณของอสูรคอยาวบรรพกาลเหล่านี้เกรงว่าคงจะไม่ยอมปรากฏตัวออกมาแน่

ช่วงนี้เขาก็มองเห็นเรือที่ไม่ได้มาจากเจ็ดเนตรโลหิตบางส่วนในทะเล สวี่ชิงระแวดระวังอย่างมากทุกครั้ง แม้ตอนนี้จะเป็นระดับสร้างฐาน แต่ความระมัดระวังของเขาก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย

และการพบกับเรือแปลกหน้าบนท้องทะเล ทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นเช่นเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างระมัดระวัง และลอยห่างกันและกันไปด้วยความระมัดระวัง

เวลาไหลผ่านไปเช่นนี้ สามวันต่อมาในที่สุดสวี่ชิงก็มาถึงพื้นที่ทะเลในวันนั้นด้วยความเร็วของระดับสร้างฐาน ตอนนี้คือช่วงกลางวัน บนท้องฟ้ามีนกทะเลหลายตัวบินอยู่ เสียงร้องดังกึกก้อง

สวี่ชิงนั่งอยู่บนกระดานเรือ ก้มหน้ามองทะเลต้องห้ามสีดำ ปล่อยสัมผัสกระจายออกไปสังเกตความเคลื่อนไหวใต้ทะเล

รออยู่นาน ก็ยังไม่พบอสูรคอยาวบรรพกาล

สวี่ชิงครุ่นคิดพักหนึ่ง จัดการเก็บคลื่นพลังของเรือเวท ขณะเดียวกันก็เงยหน้าขึ้นสังเกตบนท้องฟ้า กระทั่งครู่ต่อมาเขาก็เล็งไปที่นกทะเลบรรพกาลตัวหนึ่งที่เหมือนจะหยั่งเชิงอยู่ว่าตัวเขาเป็นอาหารหรือไม่ คอยบินวนอยู่รอบๆ

พอโบกมือเหล็กแหลมสีดำก็บินลอยออกจากมือเขา พุ่งตรงไปบนท้องฟ้า นกทะเลบรรพกาลสะดุ้งตกใจคิดจะหนี แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว ถูกเหล็กแหลมสีดำแทงทะลุปีกไป

ขณะที่นกทะเลบรรพกาลเสียงร้องแหลมดังออกมา สวี่ชิงก็ควบคุมเหล็กแหลมสีดำดึงมันลงมาทั้งเป็นให้ลอยอยู่ที่ผิวน้ำ หลังจากทำให้มันดิ้นรนหนีไปไม่ได้ สวี่ชิงก็เฝ้ารออย่างระมัดระวัง

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ตอนที่การกระเสือกกระสนของนกทะเลบรรพกาลเริ่มอ่อนแรง จู่ๆ สวี่ชิงก็ม่านตาหดเล็กลง เขาสังเกตเห็นว่าใต้ทะเลมีกระแสน้ำลึกหลั่งทะลักเข้ามา จากนั้นไม่นานอสูรคอยาวบรรพกาลขนาดสามร้อยกว่าจั้งที่ใหญ่โตกว่าครั้งที่แล้วตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมา

กลิ่นอายของมันน่าตกตะลึงมาก แทบจะอยู่ระหว่างรวมปราณและสร้างฐานเลย แต่แค่ร่างกายที่น่าตกตะลึงของมัน พลังรบก็ไม่ใช่สิ่งที่รวมปราณจะต่อกรได้แล้ว เวลานี้มันก็สังเกตเห็นเรือเวทของสวี่ชิงจากการประชิดเข้าใกล้

แต่สวี่ชิงเก็บคลื่นพลังของเรือเวทไว้อย่างมิดชิด ไม่เผยออกมาเลยแม้เพียงน้อย ตัวเขาเองก็ด้วย ดังนั้นหลังจากที่อสูรคอยาวบรรพกาลตัวนี้ว่ายวนรอบหนึ่งก็พุ่งเข้าประชิดทันควัน

บทที่140 ตกอสูร 1

บทที่140 ตกอสูร 2

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา