เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 23

บทที่ 23 ดาบนั้น

เขามองเห็นแสงสีทองออกมาจากรูปปั้นที่เลือนลางบนกำแพงในศาลเจ้า!

พวกมันทุกตน ล้วนเป็นต้นกำเนิดแสงเล็กๆ เมื่อแสงมารวมเข้าด้วยกัน ทำให้ทั้งศาลเจ้ากลายเป็นแสงเจิดจ้า แต่ต้นกำเนิดแสงที่ใหญ่ที่สุดกลับไม่ใช่พวกมัน

แต่เป็น…รูปปั้นหลักที่ถูกสักการะอยู่ใจกลางศาลเจ้า รูปปั้นหินที่ถือดาบอยู่ตนนั้น!

สวี่ชิงจิตวิญญาณสั่นสะเทือนท่ามกลางแสงสีทอง เขายังมองเห็นจุดที่เป็นประตูใหญ่ของศาลเจ้า มีร่างปราณหมอกสีดำกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ มองรูปร่างไม่ชัด เห็นเป็นเพียงรูปร่างคนที่เลือนราง กำลังบิดเบี้ยวอยู่ท่ามกลางแสงสีทอง

ด้านหลังที่อยู่นอกศาลเจ้า ร่างเงาหมอกดำรูปร่างเหมือนทั้งคนและสัตว์เลือนรางเช่นนี้อัดแน่นกันกันอีกนับร้อย

เวลานี้ขณะที่ไอเย็นทั้งหมดกำลังแผ่ซ่านความหนาวเหน็บอันน่าตกตะลึงออกมาในพริบตานั้น ก็มารวมตัวเข้าด้วยกัน กลายเป็นความหนาวเย็นขนาดมหึมา คล้ายจะเชื่อมต่อเข้ากับหมอกดำไร้รูปร่างที่เหยียบย่ำเข้ามาในศาลเจ้าอย่างไรอย่างนั้น

ทำให้เงาดำหนึ่งเดียวที่เหยียบเข้ามาในศาลเจ้าค่อยๆ เงยหน้าขึ้นภายใต้การสาดส่องลงมาของแสงสีทอง เปล่งเสียงคำรามที่เหมือนจะสามารถสั่นสะเทือนจิตวิญญาณได้ออกมา เหยียบย่างเข้ามาอีกก้าว

ย่างก้าวนี้ ก็เหมือนกับทำอะไรผิด ราวกับไปแตะต้องสิ่งต้องห้าม!

พริบตาที่เท้าแตะพื้น ในใจสวี่ชิงที่ตะลึงพรึงเพริดก็มองเห็นรูปปั้นหินถือดาบอาบแสงตนนั้น เดินออกจากจุดที่ยืนราวกับมีชีวิตขึ้นมาฉับพลัน

นำเอาความน่าเกรงขามไร้เทียมทาน นำเอาความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจพรรณนา ประดุจเทพยดาจุติยังโลก สาวเท้าก้าวใหญ่เดินตรงไปยังเงาดำ ส่งเสียงครืนครันบนพื้นพสุธา

ยกมือฟาดดาบลง หนึ่งดาบตัดสะบั้น

ดาบนี้เรียบง่ายสามัญ ไม่ฉูดฉาด แต่ในความเรียบง่ายนี้กลับแฝงไว้ด้วยท่วงทำนองของเทพเจ้าแห่งมหามรรคา ลั่นฟ้าสะเทือนดิน

แม้หูไม่ได้ยิน แต่จิตวิญญาณกลับสัมผัสได้ถึงเสียงกรีดแหลม แผ่ซ่านออกมาฉับพลันจากร่างเงาดำนั้น

ปราณหมอกเดือดระเหย จนเผยให้เห็นร่างเน่าเปื่อยทั้งตัวด้านใน ร่างกายที่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น

มองออกว่านั่นเป็นชายชราคนหนึ่ง เบ้าตากลวงโบ๋

พริบตาต่อมา ร่างของเขาก็บุบสลาย เดือดระเหิดหายไปเช่นเดียวกับปราณหมอก

และเงามืดด้านนอกเหล่านั้นก็ทยอยถูกผลกระทบ หมอกดำภายนอกร่างกายก็เลือนราง ทำให้สวี่ชิงหยิบยืมแสงทองที่แผ่ซ่านมองเข้าไปในกลุ่มเงาเหล่านั้น แล้วมองเห็นคนที่คุ้นเคยคนหนึ่ง

นั่นคือ…หัวหน้าเงาโลหิต!

เวลานี้เขาอยู่ในกลุ่มเงาดำนั่น บนใบหน้าผอมซูบไม่มีสีหน้าใด ร่างทั้งร่างก็เหมือนถูกชำระล้างจนสลายไปจากแสงทองที่แผ่ซ่าน

หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ในราตรีมืดมิดภายนอก ร่างเงาที่ยังไม่สลายไปเหล่านั้นก็ทยอยถอยออกไป จนท้ายที่สุดก็หายไปทั้งหมด

และแสงทองในศาลเจ้าเองก็ค่อยๆ ลดลง ร่างของเทพประยุทธ์ที่น่าตกตะลึงร่างนั้นหันหลังกลับ นำเอาแสงจ้ากลับไปยังตำแหน่งเดิม เมื่อแสงทั้งหมดสลายหายไปแล้ว เขาก็เหมือนกลับกลายเป็นรูปปั้นหินอีกครั้ง ยืนนิ่งอยู่ที่นั่น จ้องมองไปทางประตูใหญ่ เหมือนกำลังเฝ้ารอ เหมือนกำลังปกป้อง ไม่ขยับไหวติง

ผ่านไปเนิ่นนาน ทั้งหมดก็กลับสู่ภาวะปกติ มีเพียงสวี่ชิงที่มองเห็นทั้งหมดจากในร่องหินเท่านั้น หายใจหอบถี่ ในดวงตาเผยความไม่อยากเชื่อออกมา

ทั้งหัวหน้ากลุ่มเงาโลหิตที่เห็นว่าสลายหายไปกับตา ตายไปในปราณหมอกเสียงเพลงคนนั้นยังมีตัวตนอยู่

ทั้งศาลเจ้าธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง แต่กลางคืนกลับมีแสงทองเจิดจ้า

รูปปั้นหินที่ไม่ขยับเขยื้อนตนหนึ่ง กลับฟาดดาบใหญ่ที่ไร้เทียมทานลงมาราวกับเทพเจ้าจุติยังโลก

สีท้องฟ้าด้านนอกตอนนี้ ปรากฏแสงตะวัน วันใหม่มาถึงแล้ว

สวี่ชิงใช้เวลาอยู่นานจึงสะกดจิตใจที่สั่นสะเทือนลงได้ คลานออกมาจากในร่องหินเงียบๆ

เขามองไปยังแสงด้านนอก และมองไปยังรูปปั้นที่อยู่บนกำแพงรอบๆ สุดท้ายสายตาก็ไปตกอยู่บนรูปปั้นหินถือดาบ

เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นตัวตนแบบใด ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว

และไม่รู้ว่าอายุของหมู่ศาลเจ้าเหล่านี้คือเท่าไร และเคยมีความรุ่งโรจน์อย่างไร

แต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ สร้างความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่หลวงให้แก่เขา

โดยเฉพาะพลังแฝงตอนที่ดาบนั้นฟาดฟันลงมาอย่างยิ่งใหญ่ ทำให้สวี่ชิงสั่นสะเทือนอยู่ลึกๆ ราวกับสลักลงไปในจิตวิญญาณไม่มีวันลืมเลือน

เขาจินตนาการไม่ออกเลย ว่าในพื้นที่ต้องห้ามที่เต็มไปด้วยความอันตรายและวิกฤตนี้ จะยังมีพื้นที่ที่ความมืดไม่อาจย่างกรายเข้าไปได้อยู่ผืนหนึ่งด้วย

และเรื่องนี้หัวหน้าเหลยก็ไม่เคยพูดกับเขามาก่อน บางที…หัวหน้าเหลยเองก็อาจจะยังไม่เคยได้ยินเช่นกัน

ฉากที่เกิดขึ้นเช่นเมื่อคืน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ปรากฏขึ้นบ่อยนัก ขณะเดียวกันคนในฐานที่มั่นที่สามารถอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามได้นานเช่นเขาก็คงจะไม่มีอยู่เช่นกัน

ดังนั้นต่อให้มีคนเคยเห็น ก็คงจะน้อยถึงน้อยมาก และก็ค่อยๆ ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นตำนานที่ไม่เคยมีการพิสูจน์เรื่องหนึ่งไป

สวี่ชิงนิ่งงัน คารวะไปยังรูปปั้นหินถือดาบและรูปปั้นรอบๆ อย่างลึกซึ้ง

หลังจากคิดๆ เขาก็ล้วงหยิบเอาเทียนเล่มหนึ่งออกมาจากถุงหนัง วางไว้ด้านหน้ารูปปั้นหิน จัดการจุดแล้วคารวะลงอีกครั้ง

หันหลังเดินออกจากศาลเจ้า

จนเดินออกมาจากกลุ่มศาลเจ้า เขาก็ยังคอยหันกลับไปมองเป็นระยะ เหมือนจะจดจำที่นี่ไว้ในส่วนลึกจิตใจ ขณะเดียวกันในหัวสมองก็มีภาพฟันดาบลงมานั้นปรากฏอยู่เนืองๆ

ภาพนี้แจ่มชัดอยู่ในหัวของเขา ขนาดทำให้สวี่ชิงที่เดินออกมาจากเขตศาลเจ้าแล้ว ขณะเดินอยู่ในป่ายังยกมือขวาขึ้นสูงเพื่อเลียนแบบตามสัญชาตญาณออกมา

และทุกครั้งที่เลียนแบบ ก็ทำให้เขาสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง

ถ้าพูดว่าการฝึกบำเพ็ญเคล็ดคีรีสมุทรเป็นการเลียนแบบภาพของเซียวล่ะก็ เช่นนั้นสวี่ชิงเวลานี้ ก็คือนำภาพของเซียวนั้นเปลี่ยนเป็นภาพการลงดาบที่อยู่ในหัว

พลังบำเพ็ญของเขาก็ทะลวงขั้นไปโดยไม่รู้ตัวในการเลียนแบบนี้ เคล็ดคีรีสมุทรยกระดับขั้นเป็นขั้นที่สี่!

บางทีอาจเพราะเลียนแบบดาบนั่น ดังนั้นการยกระดับครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เพิ่มพลังและความเร็ว แต่ยังมีการทะลวงขั้นด้านจิตวิญญาณอีกด้วย

การทะลวงขั้นเช่นนี้ ทำให้ขณะเดียวกันที่ความคิดของสวี่ชิงเฉียบคมขึ้น เมื่อยกมือขวาแล้วฟาดลง ก็เหมือนสัมผัสได้ถึงรสชาติของดาบเทพเจ้านั่นอยู่เล็กน้อย

สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงยินดีอย่างมาก

สองวันผ่านไป บางทีอาจเพราะอยู่พื้นที่วงนอก หรืออาจเพราะการสั่นสะเทือนของค่ำคืนนั้นที่ศาลเจ้า ในช่วงขากลับเขาจึงไม่พบกับเสียงฝีเท้าของสิ่งประหลาดอีกเลย

และทางด้านอสูรกลายพันธุ์เอง สวี่ชิงก็พบบ้างประปราย

แต่การยกระดับของพลังบำเพ็ญ ทำให้ความสามารถเอาตัวรอดของเขาเพิ่มขึ้น จึงหลบเลี่ยงออกมาอย่างราบรื่นภายใต้ความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด

แม้ดอกลิขิตฟ้ากับหินขจัดแผลเป็นจะหาไม่เจอ แต่เขาก็เก็บหญ้าเจ็ดใบกลับมาไม่น้อย นำกลับไปขาย ก็น่าจะแลกเหรียญวิญญาณได้พอสมควร

ขณะใกล้ถึงช่วงเย็น สวี่ชิงมองเห็นโลกด้านนอกป่าแล้ว ตอนที่เขากำลังจะเดินออกไป แต่จู่ๆ เท้าก็ชะงักงัน ก้มหน้าไปยังสมุนไพรกอหนึ่งข้างๆ

รูปร่างของสมุนไพรนี้ ดูแล้วคล้ายกับดอกลิขิตฟ้าอยู่บ้าง แต่ต่อให้เขาที่มีความรู้ด้านสมุนไพรเท่าหางอึ่ง เมื่อมองอย่างละเอียด ก็ยังสามารถแยกแยะออกว่าไม่ใช่ดอกลิขิตฟ้า

แต่ว่าสวี่ชิงก็คิดๆ หลังจากมองไปรอบๆ อย่างใจฝ่อ ก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายจึงเก็บเกี่ยวมันขึ้นมาใส่เข้าไปในถุงหนัง

วิ่งกลับมาอย่างรวดเร็วตลอดทาง เมื่อออกจากป่ากว่าจะกลับไปถึงฐานที่มั่นก็พลบค่ำแล้ว

ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงกลางดึก ในฐานที่มั่นยังคงคึกคักมาก โดยเฉพาะพื้นที่กระโจมที่มีขนนกนั่น ในเสียงสรวลเสเฮฮายังมีเสียงหอบกระเส่าติดมาด้วย

สวี่ชิงไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ เมื่อกลับมาถึงที่พักแล้วเปิดประตูเรือน ก็เห็นร่างของหัวหน้าเหลยเพิ่งเดินออกมาจากในห้องพอดี

หลังจากเห็นสวี่ชิงที่แม้จะดูไร้เรี่ยวแรงแต่ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง หัวหน้าเหลยจึงวางใจ

“ทำไมไปนานนัก”

“ไปศาลเจ้ามารอบหนึ่ง” สวี่ชิงมองเห็นเส้นเลือดแดงรวมไปถึงสีหน้าอันเหนื่อยล้าของหัวหน้าเหลยใต้แสงไฟสะท้อนในห้องกับแสงจันทร์

เห็นได้ชัดว่าช่วงนี้ไม่ได้พักผ่อนดีเท่าไรนัก และเพราะสาเหตุใดนั้น…เขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ ในใจจึงรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา

บทที่ 23 ดาบนั้น 1

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา