บทที่ 236 ยอดเขาลำดับเจ็ดมีรัก
คืนนี้ ยอดเขาลำดับเจ็ดที่หลังจากอัจฉริยะฟ้าประทานพันธมิตรเจ็ดสำนักมาถึงก็ยังไม่เคยถูกท้าดวลมาตลอด ในที่สุดก็มีผู้ท้าดวลแล้ว
ผู้ที่ท้าดวล คือหวงอี้คุนสำนักโลกันต์ทมิฬแห่งพันธมิตรเจ็ดสำนัก!
มองไกลๆ หวงอี้คุนคนนี้สวมชุดคลุมยาวสีม่วงปักดินทอง ใต้แสงจันทร์ดูสง่าไม่ธรรมดา สีหน้าเย็นชาหยิ่งผยอง พลังอำนาจดุจสายรุ้ง ไฟชีวิตทั้งสี่ดวงในร่างเปิดออก ทั้งตัวเปลวไฟโถมขึ้นฟ้า ร่างกายราวกับเป็นโลกกำลังถูกแผดเผาร้อนแรง
โดยเฉพาะมือขวาที่สวมถุงมือสีแดงของเขาราวกับดึงดูดแสงไฟรอบๆ ทั้งหมดมา กระทั่งจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้า ก็เหมือนถูกดึงดูดมารวมที่มือเขาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งหมดนี้ทำให้เขาที่ยืนอยู่บนบันไดขึ้นยอดเขาลำดับเจ็ด ดูองอาจห้าวหาญ พร่างพราวเหลือประมาณ!
“ก็แค่ยอดเขาลำดับเจ็ด” หวงอี้คุนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ก้าวขึ้นบันไดทีละก้าวอย่างไม่รีบร้อน กระทั่งยังดูสบายๆ ชมทัศนียภาพของภูเขาใต้แสงจันทร์เหมือนพักผ่อนเสียด้วยซ้ำ
เพียงแต่เขารู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้าง เพราะยอดเขาลำดับเจ็ดนี้เงียบเกินไป แม้จะเป็นช่วงกลางคืน แต่ทั้งภูเขากลับไม่มีแสงไฟลอดออกมาเลย ไม่มีกลิ่นอายของศิษย์คนใดอยู่ด้วย ราวกับว่าเขาลูกนี้เป็นเขาโล่งๆ
นี่แตกต่างจากการท้าดวลที่เขาเคยเห็นมาทั้งหมด การท้าดวลในยอดเขาอื่นจะมีศิษย์จำนวนมากมาล้อมดู
ครั้งนี้เขาก็ส่งหนังสือท้าดวลมาล่วงหน้าแล้ว เดิมคิดว่าจะมีศิษย์มากมายมามุงดู แต่ยอดเขาลำดับเจ็ดเวลานี้ ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว
“เป็นพวกขี้แพ้ที่ไม่ยอมให้คนอื่นเห็นสินะ” หวงอี้คุนยิ้มเย็น สาวเท้าทีละก้าวจนมาถึงตำแหน่งกลางเขา ซึ่งก็คือสถานที่เป้าหมายการท้าดวลครั้งแรกในคืนนี้ของเขา
องค์ชายสาม ยอดเขาลำดับเจ็ด
แผนการของหวงอี้คุนคือในหนึ่งคืน เริ่มท้าดวลจากองค์ชายสาม จากนั้นก็เป็นองค์หญิงสอง สุดท้ายคือองค์ชายใหญ่ พอเสร็จสิ้นการต่อสู้ทั้งคืน ก็จะสั่นสะเทือนเลือนลั่นในวันพรุ่ง
จากการเดินเข้าใกล้ในตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เห็นเงาคน
นั่นเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง กำลังเอนกายพิงหน้าอกสาวสวยคนหนึ่งอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่
เขาสวมชุดนักพรตสีม่วงทั้งตัว ศีรษะมีหมวกสีขาวทรงสูง ปักอักษรคำว่าต้องห้ามเอาไว้ ร่างผอมจนดูเหมือนเอาแต่เคล้าสุรานารี
องค์ชายสามนั่นเอง
ข้างกายองค์ชายสามมีสาวใช้ต่างเผ่าอยู่อีกหลายคน กำลังนวดขาให้เขา เล่นหูเล่นตาใส่กันไม่หยุด ประเดี๋ยวก็มีเสียงครางกระเส่าดังก้องมา…
เมื่อเห็นหวงอี้คุนมา องค์ชายสามก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาดำคล้ำชัดเจนก็ยิ้มตาหยีมองไป
“ทำไมเจ้าเพิ่งมา ข้ารออยู่นานแล้ว”
หวงอี้คุนมององค์ชายสาม ชะงักฝีเท้าฉับพลัน
เขารู้สึกว่าผิดปกติ ดวงตาเผยแววระแวดระวังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เขาพบว่าตนเองมององค์ชายสามคนนี้ไม่ออก อักษรต้องห้ามบนศีรษะของอีกฝ่ายก็เหมือนเป็นผนึกชั้นหนึ่ง ขณะเดียวกันเขาไม่รู้ว่าด้วยเหตุอันใด ตอนนี้จึงรู้สึกเสียวสันหลัง ความรู้สึกเหมือนถูกอสรพิษจับจ้องอยู่เลาๆ
และอสรพิษนี้ก็ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงวิกฤตแรงกล้า
เขาเคยสัมผัสความรู้สึกนี้ได้จากผู้คุ้มครองบางคนเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้เขาลมหายใสหอบถี่เล็กน้อย โดยเฉพาะตอนที่สายตาเขากวาดไปยังบรรดาสาวรับใช้ พบว่ารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาคนที่องค์ชายสามเอนตัวพิงหน้าอกคนนั้นชอบกล
พริบตาต่อมา หวงอี้คุนดวงตาก็เบิกตากว้าง เขาจำอีกฝ่ายได้แล้ว หญิงสาวคนนี้…คือผู้บำเพ็ญสำนักเซียนล้ำบารมี และเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้บำเพ็ญหญิงสามคนที่มายังเจ็ดเนตรโลหิต ผู้บำเพ็ญไฟชีวิตสี่ดวงคนนั้น
เพียงแต่ตัวหญิงสาวเวลานี้ไร้ซึ่งความเย็นชาหยิ่งทะนง ตอนที่มององค์ชายสามก็เปี่ยมไปด้วยความเคารพศรัทธา ดูเชื่อฟังเป็นอย่างมาก
ภาพนี้ทำให้หวงอี้คุนสูดปาก เขารู้สึกว่าการท้าดวลของตนเองดูขอไปทีเล็กน้อย จึงถอยหลังไปหลายก้าว หัวเราะเจื่อน
“วันนี้ข้ายังเตรียมตัวมาไม่ดี ยังไม่ท้าดวลแล้วกัน ขอตัวก่อน ขอตัวก่อน”
พูดจบ ตอนหวงอี้คุนที่จะปลีกตัว แต่พริบตาต่อมาร่างขององค์ชายสามก็หายไปจากที่เดิม มาปรากฏตัวเบื้องหน้าหวงอี้คุนแล้ว คว้ามือขวาของเขาเอาไว้แน่น
ด้วยความเร็วนี้ ทำให้หวงอี้คุนม่านตาหดเล็กลง มือขวาถูกคว้าไว้ ใบหน้าถอดสี
ยิ่งทำให้จิตวิญญาณเขาพรั่นพรึงคือไม่สามารถต้านทานใดได้เลย ราวกับว่าตนเองที่อยู่เบื้องหน้าอีกฝ่ายเป็นแค่ลูกไก่ตัวหนึ่งเท่านั้น เขาเหงื่อแตกพลั่กรีบร้อนเอ่ยว่า
“เจ้าจะทำอะไร”
“ไม่ต้องเครียด เจ้าพกเงินมาเท่าไร” องค์ชายสามยิ้มตาหยีเอ่ยปาก
หวงอี้คุนตกตะลึง
เมื่อองค์ชายสามเห็นเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้น
“เจ้านี่ทำตัวไร้มารยาทเสียจริง เอาล่ะ ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังเสียหน่อย เจ้าน่าจะสู้ข้าไม่ไหว แต่ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ในสำนักโลกันต์ทมิฬคงจะขมขื่นมาก พวกเราอันที่จริงก็เหมือนคนกันเอง คนกันเองจะไม่ทำให้คนกันเองต้องลำบากใจ
“ทั้งหมดเป็นการค้า ข้าก็ไม่ได้หลอกลวงเจ้า ราคาสิบล้านหินวิญญาณ ถ้าเจ้ามอบให้ข้า ข้าจะยอมแพ้เจ้าเลย เจ้าวางใจได้ ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้แยบยล ข้าจะประกาศว่าข้าแพ้เจ้า กระทั่งบันทึกภาพให้เจ้าได้ด้วย
“ให้เจ้ากลับไปอย่างสง่างามไง ดีจะตาย”
หวงอี้คุนพอฟังถึงจุดนี้ ดวงตาก็เบิกกว้าง ส่ายหัวตามสัญชาตญาณ
องค์ชายสามหัวเราะเหมือนว่าเจรจาการค้ากันได้ เมื่อเห็นหวงอี้คุนส่ายหัว รอยยิ้มเขาก็ยังไม่เปลี่ยน แต่คำพูดที่ออกมากลับทำให้หวงอี้คุนใจสั่นสะท้าน
“ไม่เห็นด้วย? ไม่เป็นไร ต่อรองกันได้ นิ้วมือของเจ้านี่ไม่เลวเลย เอามาขัดหนี้ได้อยู่”
พูดพลาง องค์ชายสามก็ไม่รอหวงอี้คุนได้ดิ้นรน เสียงหักนิ้วชี้ของหวงอี้คุนดังกร๊อบ…
พริบตาที่เสียงกรีดร้องดังออกมาจากปากหวงอี้คุน เมื่อองค์ชายสามโบกมือ พลังวูบใหญ่ก็แผ่ออกมาทันที พัดหวงอี้คุนปลิวไปตกที่บันไดภูเขา
เสียงดังโครม หวงอี้คุนกระอักเลือด หน้าขาวซีดมีความพรั่นพรึง เมื่อมองไป ในหูก็ได้ยินเสียงหัวเราะขององค์ชายสามดังมา
“เจ้าชนะแล้ว ข้าไม่ส่งนะ”
เมื่อหวงอี้คุนได้ยินก็ตื่นตะหนก จากนั้นก็ก้มหน้ามองมือขวาที่กำลังเปล่งแสงเจิดจ้าของตนเอง นิ้วทั้งห้าแต่เดิม ตอนนี้เหลืออยู่สี่แล้ว ความโกรธแค้นผุดขึ้นในใจเขา
“นี่มันปล้นกันชัดๆ!!”
ความโกรธแค้นรุนแรงทำให้หวงอี้คุนรู้สึกว่าเบื้องหน้าสลัวและพร่ามัวไปบ้าง โดยเฉพาะตอนคิดถึงนิ้วทั้งห้าที่เขาใช้เวลาสั่งสมและสร้างขึ้นมาทั้งชีวิต อยู่ดีดีก็หายไปแล้วหนึ่ง หัวใจเขาก็รวดร้าว
แต่…เขาไม่กล้ากลับไปทวง ความน่ากลัวขององค์ชายสามนั่น ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก
ขณะที่กำลังทอดถอนใจด้วยความโกรธ เขาก็ตั้งท่าจะทะยานขึ้นฟ้า แต่ฉุกคิดได้ว่ายอดเขาต่างๆ ของเจ็ดเนตรโลหิตผนึกการเหาะเหินไว้ จึงยิ่งขมขื่นมากขึ้น ทำได้เพียงเดินเท้าลงจากเขาไป
เขาไม่อยากอยู่ในยอดเขาลำดับเจ็ดแล้ว…
เพียงแต่เมื่อเดินไปเรื่อยๆ เขาก็มองเห็นคนคนหนึ่ง
หญิงสาวร่างสูงใหญ่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้หินไม่ไกลนัก


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา