บทที่ 255 ตะวันจันทราประชันแสง
สวี่ชิงจ้องเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง
เขายอมรับว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดที่เคยเจอมานับตั้งแต่ก้าวมาอยู่บนเส้นทางฝึกบำเพ็ญ
นี่ยังเป็นเพราะใช้เจ้าเงาไปปิดช่องเวทของอีกฝ่าย ทำให้กำลังรบของเขาไฟชีวิตลดไปหนึ่งดวงด้วย
ไม่เช่นนั้นแล้วสวี่ชิงรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย
และต่อให้ไฟชีวิตลดไปหนึ่งดวง วิชาของอีกฝ่ายยังแสดงออกมาถี่ๆ เคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิน่าตื่นตะลึง พลังวิเศษทั้งตัวนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะการป้องกันจากตะเกียงแห่งชีวิต ทำให้พิษของเขาไร้ผล
“หากข้าได้ตะเกียงแห่งชีวิตของเขา เช่นนั้นด้านการป้องกันก็ทำได้ถึงขั้นนี้เหมือนกัน กายวิญญาณได้รับการป้องกันจากตะเกียงจะยิ่งสมบูรณ์ขึ้น!”
สวี่ชิงหรี่ตา จ้องคอของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องและฉัตรเจ็ดสีเหนือศีรษะของเขา จิตสังหารรุนแรงกว่าเดิม
ในตอนที่สวี่ชิงมองเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง เซิ่งอวิ๋นจื่อก็จ้องสวี่ชิงเช่นกัน ในใจของเขาสวี่ชิงนับว่าอยู่ในสามอันดับแรกของผู้บำเพ็ญระดับเดียวกันที่เขาได้สู้ด้วยในมณฑลรับเสด็จราชันช่วงหลายปีมานี้ได้แล้ว
ได้เจอกับบุคคลระดับในนี้สถานที่เล็กๆ อย่างทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณเป็นเรื่องที่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องคิดไม่ถึง
‘เห็นทีท่านบรรพจารย์จะพูดถูก มหายุคมาถึงแล้ว อัจฉริยะเกิดขึ้นถี่ๆ บุคคลเก่งกาจเยี่ยมยุทธ์ปรากฏขึ้นมากมาย และในมหายุคก็แฝงไว้ซึ่งมหาวาสนา อย่างสวี่ชิงคนนี้…ตะเกียงแห่งชีวิตของเขาหากหลอมรวมไปในร่างกาย ในขอบเขตนี้ข้าไม่ใช่แค่จะมีกำลังรบไฟชีวิตเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งดวงทันทีเท่านั้น สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือวังสวรรค์
‘คุณค่าของตะเกียงแห่งชีวิตไม่ได้อยู่ที่ระดับสร้างฐานเท่านั้น ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์! หากข้าหลอมรวมกับตะเกียงแห่งชีวิตของเขา ภายใต้พลังจากตะเกียงแห่งชีวิตสองดวง ในชั่วเสี้ยวพริบตาที่ทะลวงระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์ ตะเกียงแห่งชีวิตยกระดับวังสวรรค์ ข้าก็จะสะท้อนวังสวรรค์ในหมอกแห่งชะตาได้สองวัง
‘หนึ่งวังมีไฟชีวิตหกดวง ข้าเพิ่งก้าวสู่ระดับหลอมตันเถียนก็จะมีพลังไฟชีวิตอย่างน้อยสิบสองดวง หล่อเลี้ยงช่วงหนึ่ง หลังจากที่เปิดวังสวรรค์ที่หนึ่งของจริงได้แล้ว ข้าก็จะมีพลังไฟชีวิตสิบแปดดวง!
‘แล้วยังมีเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิของเขา สังหารเขาในการต่อสู้วันนี้ กลืนกินวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณของเขา ความสำเร็จที่เมี่ยเหมิงของข้าก้าวสู่ขั้นที่สองก็จะเพิ่มมากขึ้น!”
‘นับแต่โบราณกาลมา ต่อให้เป็นลูกหลานของเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณในตอนนั้นพวกนั้นก็ไม่สามารถยกระดับเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิของตัวเองไปถึงขั้นที่สองได้ในช่วงที่เป็นระดับสร้างฐาน กระทั่งว่าถึงระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์แล้วก็ยังยากที่จะทำให้เคล็ดวิชายกระดับได้ เห็นได้ว่าการยกระดับของเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดินั้นยากมาก และเมื่อสำเร็จ การเพิ่มพลังจากเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิจะไม่ใช่แค่ไฟชีวิตหนึ่งดวงเท่านั้น แต่จะเหมือนกับวังสวรรค์ ล้วนเป็นไฟชีวิตหกดวง!”
‘หากข้าทำสำเร็จ ในเสี้ยวพริบตาก้าวสู่ระดับแก่นลมปราณ ก็จะมีกำลังรบสิบแปดดวง อีกทั้งไม่นานก็จะถึงระดับไฟชีวิตยี่สิบสี่ดวง กำลังรบเช่นนี้ ข้าก็จะเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของมณฑลรับเสด็จราชันได้อย่างสมบูรณ์แบบ และด้วยฐานะนี้รวมกับผู้ครองกระบี่ นับจากนี้เส้นทางของข้าก็จะรุ่งโรจน์ มุ่งตรงสู่เขตปกครองผนึกสมุทร!”
บนท้องฟ้า เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องและสวี่ชิงยึดพื้นที่สองฟากฟ้า แต่ละคนต่างรัศมีอำนาจท่วมท้น ทางเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องแสงเจ็ดสีเปล่งประกายเจิดจ้า ทำให้พื้นดินกลายเป็นแสงสีรุ้ง
สวี่ชิงทางนั้นฟากฟ้ามืดมิด เปลวไฟสีดำเผาไหม้ผืนนภา ส่งเสียงดังเลื่อนลั่นสนั่นหวั่น แววตาของทั้งสองคนจ้องเพ่งข้ามอากาศ ต่างมองเห็นจิตสังหารที่ลุกโชนของอีกฝ่าย
เสี้ยวขณะต่อมาพวกเขาก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน
มองไกลๆ ภาพฉากนี้พรั่นพรึงนัก นั่นเป็นผืนฟ้าที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ปะทะเข้าหากันอย่างรวดเร็ว
นั่นคือเมี่ยเหมิงและวิหคทอง วิหคเทพในตำนานสองตนกำลังกู่ร้องคำรามกลืนกินซึ่งกันและกัน
นั่นคือฉัตรสองคันที่ต่างกำลังปะทุแสงเทพของตัวเองออกมา
นั่นเป็นศึกตัดสินเป็นตายระหว่างเจ้าเหนือหัวอายุเยาว์และจักรพรรดิบรรพกาลอายุเยาว์
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังไปทั่วทุกทิศ ลมเมฆเปลี่ยนสี พลังท่วมท้นฟ้าดิน!
ต่างผลัดกันรุกผลัดกันรับ ในขณะที่สู้กันดุเดือดยิ่งขึ้น จากท้องฟ้าที่เหมือนจะระเบิด สวี่ชิงและเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องต่างโจมตีออกไปสุดกำลัง ต่างร่างสะท้านบ้าคลั่ง ต่างจำต้องถอยไป
‘บัดซบ หากข้ายังมีกำลังรบไฟชีวิตหกดวงแล้วล่ะก็!’ เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องสีหน้าเคร่งเครียด เปลวไฟในร่างลุกไหม้ พยายามขับไล่กำจัดเงาดำบนช่องเวทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสุดกำลัง
แต่ไม่ว่าเปลวไฟของเขาจะลุกไหม้รุนแรงเพียงใด เจ้าเงาก็ยืนหยัดอย่างมั่นคง ทุ่มสุดกำลังอุดช่องเวทที่เหมือนภูเขาไฟลูกนั้น ทำให้ช่องเวทในกายของเขาไม่สามารถแผ่ออกมาได้แม้แต่น้อย ทำให้เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องก่อไฟชีวิตดวงที่สี่ขึ้นไม่ได้
นี่ทำให้จิตสังหารในดวงตาของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องยิ่งวาวโรจน์ ระหว่างที่ถอยเขาเห็นสวี่ชิงที่อยู่ไกลๆ ร่างเพียงไหววูบก็พุ่งตรงประชิดเข้ามาใกล้ตนทางนี้พร้อมด้วยจิตสังหารอันโหดเหี้ยม
ในตาของเขาฉายแววเด็ดเดี่ยว กัดปลายลิ้นพ่นเลือดออกมา
“อาภรณ์ผี ผนึกวิญญาณ!”
เลือดของเขาคำนั้นขยายใหญ่ขึ้นทันทีตามคำพูด เวลาเพียงพริบตาก็ขยายใหญ่ถึงร้อยจั้ง แล้วพลันก่อเป็นเสื้อสีเลือดตัวหนึ่ง หอบม้วนไปหาสวี่ชิงทางนั้น
สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง วิหคทองที่อยู่ข้างหลังคำรามแผ่ไฟดำมา กำลังจะเผา แต่เสี้ยวขณะต่อมา อาภรณ์เลือดตัวนี้ก็ไม่สนใจว่าตัวเองจะเสียหาย ไม่สนใจค่าตอบแทนใดๆ ฝืนพุ่งมาพันรัดสวี่ชิง
พลังผนึกกลุ่มหนึ่งปะทุมาทันที ทำให้ร่างของสวี่ชิงชะงักกลางอากาศอย่างควบคุมไม่ได้
ประกายเย็นเยือกฉายวาบในดวงตาสวี่ชิง วิหคทองข้างหลังคำราม ตะเกียงแห่งชีวิตเหนือศีรษะลุกไหม้ กำลังจะกำจัดพลังผนึกนี้
แต่ในตอนนี้เอง ดวงตาของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องฉายเววดุดัน มือขวาเงื้อขึ้น
“กระบี่สวรรค์โลหิตพิฆาต!”
คำพูดของเขาเมื่อดังขึ้น มือขวาก็ประสานไปตามวาจา เพียงพริบตามือขวาก็กลายเป็นสีชาด เลือดลมทั้งร่างเดือดพล่าน เหนือศีรษะยิ่งมีแสงเลือดปะทุออกมาพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
มองให้ละเอียด ในแสงเลือดมีกระบี่บินอยู่เล่มหนึ่ง
ท้องฟ้าสั่นไหวคล้ายมีมังกรอสรพิษโบยบิน ในขณะที่เสียงดังเลื่อนลั่นสนั่นหวั่นไหวก็เหมือนถูกม่านสีเลือดปิดคลุมทำให้ท้องฟ้าทั้งผืนกลายเป็นสีเลือด
ในท้องฟ้าสีเลือดผืนนี้มีปลายกระบี่มหึมาปรากฏออกมา ปลายกระบี่มีความกว้างถึงร้อยจั้ง ตอนนี้หลังจากที่มันปรากฏขึ้นก็พุ่งลงมาทันที เผยให้เห็นตัวกระบี่ที่มีขนาดมหึมายิ่งกว่า
ตัวกระบี่มีตราประทับมากมาย ยิ่งมาพร้อมด้วยเศษแขนขาอวัยวะนับไม่ถ้วน
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา