บทที่ 274 นรกบนดิน
ก่อนจะมาพันธมิตร ในม้วนเอกสารของสำนัก สวี่ชิงได้อ่านคำบรรยายของเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา
ภูเขาสะกดมรรคาหมื่นลี้โครงกระดูกราวขุนเขา กระดูกราวป่า
ที่นั่น หนังมนุษย์ติดกันเป็นแผ่น ผมกลายเป็นพรม ลมพัดผมแห้งกรอบทำให้พื้นปูไปด้วยสีดำ
ทุกที่ที่มองไปล้วนเป็นดินโคลนที่แปรเปลี่ยนมาจากเนื้อหนังเน่าเปื่อยนับไม่ถ้วน ทำให้คนเห็นแล้วขวัญผวาสยดสยอง
ยิ่งมีกระดูกกองรอบต้นไม้ ศีรษะกลายเป็นผลบนต้นไม้ เจ็บปวดร้องครวญครางแต่ไม่ตาย เลือดสดๆ ไหลรินให้ปีศาจเทพชั่วร้ายที่ผ่านไปมาได้ดื่มกินดับกระหาย
เขาศพทะเลเลือด กลิ่นคาวเลือดคลื่นเหียนสะอิดสะเอียน เป็นนรกบนดินชัดๆ
ในพื้นที่ทำปศุสัตว์หนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดรัฐ มีเผ่ามนุษย์และมีต่างเผ่า ล้วนเป็นอาหารทั้งนั้น
กินหนึ่งรัฐ หล่อเลี้ยงหนึ่งรัฐ
นี่ก็คือคำบรรยายเกี่ยวกับเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาในม้วนเอกสารของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
และนรกบนดินแห่งนี้อยู่ติดกับพันธมิตรแปดสำนัก ติดทะเลเหมือนกัน เพียงแต่มีเทือกเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัยกั้นเอาไว้เท่านั้น
สวี่ชิงรู้ว่าทำไมสำนักจึงเลือกที่นี่ ด้านหนึ่งเป็นส่วนเดียวกับพันธมิตร แม้ที่นี่จะอยู่ใกล้กับภูเขาสะกดมรรคาที่สุด แต่ทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นขั้วอำนาจใหญ่ในมณฑลรับเสด็จราชัน หากอีกฝ่ายโจมตีที่นี่ก็เป็นการเปิดสงครามอย่างไม่ต้องสงสัย
อีกด้านหนึ่งคือที่นี่อยู่ใกล้กับแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพสายย่อยที่สุด ไอพลังวิญญาณเข้มข้น ภายใต้การหล่อเลี้ยงไร้รูปร่างจะทำให้ไอพลังประหลาดในตัวลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตถูกชำระล้างอยู่ตลอดเวลา
ขณะเดียวกันผลประโยชน์จากการแยกสายแม่น้ำที่นี่ทะลุผ่านทั้งเมืองสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็มากที่สุด เพราะทั้งสองข้อรวมกันแล้วจะทำให้เมืองใหม่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตอยู่ท่ามกลางกลิ่นอายพลังเซียนที่เข้มข้นอยู่ตลอดเวลา
อีกทั้งแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเซียนสายย่อยเป็นของทั้งพันธมิตร แต่ทางแม่น้ำที่แยกออกไป เป็นทรัพย์สมบัติของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตตามข้อสัญญา
ขณะเดียวกัน เขตเมืองสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแถบนี้ก็เพิ่งจะราคาขึ้นในช่วงนี้ ก่อนที่สายย่อยของเร้นเซียนยังไม่มา ที่นี่ไม่มีค่าอะไร
แต่พวกนี้ก็เป็นเพียงการคาดเดาของสวี่ชิงเท่านั้น รายละเอียดเป็นอย่างไร เนื่องจากช่วงนี้เข้าไม่ได้ไปเข้าร่วมด้วย และไม่อาจเข้าร่วมการหารือของผู้นำระดับสูงระหว่างสำนักกับเหล่าบรรพจารย์ได้ จึงไม่อาจล่วงรู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร
เขาระแวงระวังเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคามาก และภาพนี้ก็ทำให้เขาตระหนักได้อีกครั้งว่าโลกใบนี้ไม่มีแดนสุขาวดี ความสงบสุขเบื้องหน้าที่แสดงออกมาคือใช้พลังความสามารถสร้างขึ้น อีกทั้งใช่ว่าจะไม่มีราคาที่ต้องจ่ายหากจมจ่อมอยู่ในโลกสุขาวดีแต่ไม่ทำตนให้แข็งแกร่ง ไม่ช้าก็เร็วก็จะกลายเป็นอาหารของคนอื่น
‘เรื่องอย่างดวงอาทิตย์ขึ้นและตกเช่นนี้ยังอาจเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสงบสุขเลย’ สวี่ชิงดึงสายตาที่มองไปทางภูเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคากลับมา รู้สึกว่าตัวเองก็ยังคงอ่อนแอเหลือเกินเหมือนเดิม
‘รอสำนักใหม่สร้างเสร็จ จะไปหาท่านอาจารย์ศึกษาเคล็ดวิชาพลังวิเศษบ้าง ข้าจะต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้น!’ดวงตาสวี่ชิงฉายแววมุ่งมั่น สูดลมหายใจลึก เฝ้ารักษาการรอบๆ ต่อไป
เวลาผ่านไปแต่ละวันๆ เช่นนี้เอง เมืองหลักสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเปลี่ยนโฉมใหม่ เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ถนนทุกสาย สิ่งก่อสร้างทุกแห่ง ค่ายกลทุกค่าย ภายใต้ความขยันขันแข็งของลูกศิษย์และคนทั่วไปก็สร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว
ลูกศิษย์และประชาชนทั่วไปที่ส่งข้ามมามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เมืองที่แต่เดิมดูแล้วค่อนข้างโล่งว่างมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย
ยอดเขาทั้งเจ็ดของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ทยอยมาถึงเช่นกัน จัดให้อยู่ตำแหน่งใจกลางเมือง ส่วนทางทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณทางนั้นสำนักเจ็ดเนตรโลหิตย่อมไม่มีทางปล่อยไป ย้ายภูเขาเจ็ดลูกจากเทือกเขาสัจธรรมเข้าไปใหม่ แล้วใช้ค่ายกลปกคลุม
อีกทั้งจัดลูกศิษย์คอยเฝ้าคุ้มกันเอาไว้ แม้จะไม่เหมือนในอดีต แต่จากการที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตกลายเป็นสำนักบน ไม่ว่าจะเป็นทะเลต้องห้ามหรือทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ในช่วงระยะสั้นๆ นี้ไม่มีขั้วอำนาจใดมาหาเรื่อง
ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ขณะเดียวกัน ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสมาชิกพันธมิตร ตำแหน่งบางอย่างในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็จำเป็นต้องรวมให้เป็นหนึ่ง เช่นนี้แล้วถึงจะเป็นสมาชิกของพันธมิตรได้ดียิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่นเจ้าสำนัก สำนักเจ็ดเนตรโลหิตในอดีตนั้นไม่มีเจ้าสำนักตำแหน่งนี้
ตอนนี้มีแล้ว
การดำรงตำแหน่งของนายท่านเจ็ดไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ทั้งนั้น กลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ส่วนผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้ายอดเขาลำดับเจ็ดคือคู่ฝึกเต๋าของเขา ซึ่งก็คือน้าของติงเสวี่ย
ในขณะเดียวกันตำแหน่งผู้อาวุโสก็ถูกปรับเป็นผู้คุมกฎ มีเพียงผู้ที่มีพลังบำเพ็ญระดับปราณก่อนกำเนิดขึ้นไปเท่านั้นจึงจะถูกเรียกว่าผู้อาวุโส เป็นขอบเขตพลังบำเพ็ญระดับเดียวกับเจ้ายอดเขาในตอนนี้
จากที่กล่าวมานี้ก็จะเห็นรูปแบบโครงสร้างของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต มีความหวังว่าในอนาคตเจ้ายอดเขาทุกคนล้วนก้าวสู่ระดับซ่อนวิญญาณได้
เรื่องการเข้าร่วมพันธมิตรของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็นับว่าสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่งจากการปรับตำแหน่งต่างๆ แล้ว ต่อจากนี้มีเรื่องรอให้จัดการมากมาย สำนักเจ็ดเนตรโลหิตตั้งแต่ระดับบนจนถึงระดับล่างต่างยุ่งกันจนหัวหมุน
ทุกคนมีภาระหน้าที่ที่มั่นคงหนึ่งถึงสองอย่าง
สำหรับการฝึกบำเพ็ญประจำวันของลูกศิษย์ สำนักก็ไม่ได้บีบบังคับ ในขณะเดียวกับที่รับประกันการฝึกบำเพ็ญของลูกศิษย์ เพื่อเร่งให้เรื่องทุกอย่างในสำนักเสร็จเร็วขึ้น สำนักก็นำทรัพยากรออกมามหาศาล มอบเป็นรางวัลเพิ่มเติมในภารกิจ
เรื่องที่ไม่ต้องไปทำสงครามเป็นตายก็ได้ทรัพยากรแบบนี้ทำให้ทุกคนต่างกระตือรือร้นกันเป็นอย่างยิ่ง
ทางสวี่ชิงก็ได้รับภารกิจประจำที่สองเหมือนกัน เขาต้องร่วมกับสหายร่วมสำนักสำแดงวิชาเวทที่เขตท่าเรือ ดันทะเลต้องห้ามที่ตลบอวลไปด้วยไอพลังประหลาดที่ท่าเรือออกไปอีกนิด เพื่อสะดวกลูกศิษย์คนอื่นๆ ถมทะเลได้อย่างราบรื่น สร้างท่าเรือขึ้นมา
เนื่องจากสวี่ชิงนับจากที่มาเยี่ยมเยือนก็อยู่ในพันธมิตรมาโดยตลอด ยิ่งมีความรุ่งโรจน์ในเสี้ยวพริบตาที่ขึ้นฝั่งมา และในศึกที่สู้กับซือหม่าหรู สร้างอำนาจสะกดน่าตื่นตะลึงกับทุกคน
นี่ทำให้เขาเหมือนกับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องในตอนนั้น เจิดจ้าเปล่งประกาย
แม้ตอนนี้พันธมิตรจะไม่ได้ประกาศ แต่ทุกคนล้วนรู้ดีว่าเขาเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของพันธมิตรแปดสำนักในยุคนี้ไปโดยปริยาย ดังนั้นแล้ว ในพันธมิตรที่เปิดกว้าง คนที่สงสัยใคร่รู้ย่อมมีจำนวนไม่น้อย
ดังนั้น ตอนนี้ที่เขตท่าเรือ ในยามที่สวี่ชิงร่วมสำแดงเวทกับลูกศิษย์คนอื่นๆ ทำให้น้ำทะเลซัดโหมหอบม้วนดังสนั่นหวั่นไหว ขยายออกเป็นพื้นที่บริเวณกว้าง ก็จะเห็นลูกศิษย์ของสำนักต่างๆ จำนวนไม่น้อยล้อมดูจากที่ไกลๆ
สำหรับพวกเขาแล้ว การเข้าร่วมของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตคือเรื่องใหญ่ของพันธมิตร ย่อมต้องมาดูสักหน่อยอยู่แล้ว
ในบรรดาผู้มาเยือนมีลูกศิษย์หญิงมากเป็นพิเศษ หลังจากเห็นเงาร่างของสวี่ชิงปรากฏก็ต่างตาวาววาบ ส่งเสียงซุบซิบฮือฮา

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา