บทที่ 284 หลุมศพความมืด
ปราณหมอกหนามาก แผ่คลุ้งในป่าภูเขาที่หนาทึบนี้อย่างรวดเร็ว ครอบคลุมตัวสวี่ชิงกับนายกองเอาไว้
มองไป รอบด้านกลายเป็นปราณหมอก มองทะลุไปไม่ถึงหนึ่งฉื่อ พร่าเลือนไปเสียหมด ราวกับบนท้องฟ้าก็มีหมอกปกคลุมไร้จุดสิ้นสุด
ปราณหมอกนี้ปรากฏมารวดเร็วทั้งยังเย็นเยียบ ไม่ใช่สิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้น เป็นไปได้ว่าเกิดจากสิ่งประหลาด หลังจากสวี่ชิงได้สัมผัสก็รู้สึกคล้ายกับมีสิ่งเล็กๆ มากมายนับไม่ถ้วนซ่อนอยู่ในหมอก คิดจะชอนไชเข้ามาในร่างกายผ่านรูขุมขน
แต่มีตะเกียงแห่งชีวิตคุ้มกัน การรุกล้ำทั้งหมดของหมอกสิ่งประหลาด จึงไม่มีผลเลยแม้แต่น้อย
‘ดูคล้ายกับหมอกลวงตาของพื้นที่ต้องห้ามนอกฐานที่มั่นคนเก็บกวาด แต่ระดับยังห่างชั้นอยู่มาก’ สวี่ชิงตรวจสอบรอบๆ กลิ่นอายของนายกองก็ถูกตัดขาดจากการที่ปราณหมอกพรั่งพรูมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังอยู่ข้างกาย แต่ตอนนี้กลับสัมผัสไม่ได้เลย
ทว่าสวี่ชิงไม่ได้กังวลเรื่องนายกอง เขารู้สึกว่าเว้นแต่จะเป็นพื้นที่ต้องห้ามหรือแดนต้องห้าม มิเช่นนั้นหากเทียบกับนายกอง ใครจะร้ายกาจกว่าก็ยังไม่แน่…
โดยเฉพาะตอนนี้ เจ้าเงาที่เพิ่งจะกินสิ่งประเภทเดียวกันไป หลังจากหมอกผีนี่ปรากฏ ก็เผยความหิวกระหายและสูดรับปราณหมอกที่เย็นเยียบนี้อย่างปรีดา
สิ่งที่สวี่ชิงรู้สึกได้ ก็เหมือนกับหลังจากกินอิ่มแล้วอยากจะดื่มน้ำสักอึก แล้วจู่ๆ รอบๆ ก็มีคนส่งน้ำมาให้ เจ้าเงาจึงดีใจมาก
ปราณหมอกด้านหน้าสวี่ชิงเบาบางลงจากการสูดรับของเจ้าเงา เขาเดินหน้าไปด้วยสีหน้าปกติ เป้าหมายคือต้นกำเนิดของปราณหมอกสิ่งประหลาดนี้ เขาอยากจะเห็นว่าเป็นสิ่งประหลาดแบบใดกันแน่ที่ริอ่านเป็นอริกับเขา กลายหมอกมาจู่โจม
ระหว่างที่เดินไปข้างหน้า ปราณหมอกภายใต้การสูดรับของเจ้าเงานี้ก็ยิ่งเบาบางลง จนเผยป่าไม้ออกมา ต้นไม้เหล่านี้ดูบิดเบี้ยวท่ามกลางความเลือนลาง ราวกับมีภูตผีอยู่ ขณะเดียวกันยังมีเสียงหัวเราะเย็นเยียบเป็นระยะ สะท้อนก้องในป่าที่เงียบงันนี้
แยกไม่ออกว่าเป็นเสียงชายหรือหญิง ราวกับว่ามีอยู่ทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นยังตัดสลับด้วยกันอีก เดี๋ยวไปซ้ายเดี๋ยวไปขวา วนเวียนอยู่รอบตัวสวี่ชิงไม่หยุด
สวี่ชิงหรี่ตาลง ควบคุมเจ้าเงาให้มันอดกลั้นไว้ เขากังวลว่าถ้าเจ้าเงากลืนกิน จะทำให้สิ่งประหลาดที่แท้จริงในนี้เตลิดหมด
เขาตัดสินใจจะจัดการสิ่งประหลาดที่มีจิตอริคิดจะโจมตีตนเองให้ตาย!
สวี่ชิงซ่อนจิตสังหารในตาระหว่างที่เจ้าเงากำลังยับยั้งชั่งใจ เดินหน้าต่อไป เดินผ่านวป่า เดินขึ้นไปบนเขาลูกเล็ก จนผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยามก็มีเงาเลือนลางในหมอกเบื้องหน้าเขา
เห็นเหมือนเป็นบ้านไม้หลังหนึ่งเลาๆ
หลังจากสวี่ชิงเข้าประชิดเรื่อย บ้านนี้ก็ยิ่งปรากฏชัดขึ้นมาในดวงตาสวี่ชิง
บ้านที่ดูเก่าแก่หลังนี้ ไม้กระดานผุพัง เป็นรูใหญ่หลายจุดราวกับจะถล่มลงมาได้ตลอดเวลา เต็มไปด้วยความทรุดโทรม
หน้าบ้านมีเก้าอี้โยกตัวหนึ่งวางอยู่ ดูผุพังอย่างมากเช่นกัน
รอบๆ เดิมทีมีลานกับสวนดอกไม้ แต่ตอนนี้หญ้าวัชพืชปกคลุมลาน สวนดอกไม้เหี่ยวเฉาไปหมด ขณะที่เต็มไปด้วยความผันแปรของกาลเวลา ตำแหน่งของบ้านไม้นี้ก็ค่อนข้างแปลกประหลาด
มันตั้งอยู่กลางเขา รอบด้านเป็นป่าทึบ มีเพียงที่นี่ที่มีบ้านไม้ตั้งโดดๆ อยู่หลังเดียว ยิ่งเข้าใกล้สถานที่นี้ก็มีลมหยินพัดหวีดหวิว จนต้นไม้รอบด้านส่งเสียงแซกๆ ราวกับมีคนมากมายกำลังกระซิบกระซาบกัน
สวี่ชิงกวาดตามอง จู่ๆ ก็มองไปทางเก้าอี้โยกนั้น
เก้าอี้โยกนี้ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครนั่งอยู่ แต่กลับโยกไหวขึ้นมาเบาๆ ดูคล้ายกับลมพัด และดูคล้ายกับมีชายชราไม้ใกล้ฝั่งนั่งโยกเบาๆ หวนระลึกวันเวลาและความทรงจำในชีวิตอยู่ตรงนั้น
สีหน้าสวี่ชิงปกติเช่นเดิม มองเก้าอี้โยก เขาจำได้ว่าตอนที่มาถึงที่นี่เก้าอี้ตัวนั้นยังไม่ขยับ ราวกับว่าหลังจากที่ตนเองกะพริบตาก็เกิดลมขึ้นจนมันเคลื่อนไหว
สวี่ชิงจึงกะพริบตาอีกครั้ง
พริบตาก็มีเชือกเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นหน้าประตูไม้
สวี่ชิงจึงกระพริบตาถี่ จู่ๆ เชือกเส้นก็บิดเบี้ยว จากนั้นก็มีชายชราศพหนึ่งปรากฏขึ้นผูกอยู่กับเชือก
เขาไม่รู้ว่าถูกแขวนคอไว้นานเท่าไร แต่เป็นศพแห้งไปแล้ว มีเพียงผมขาวที่ลู่ลมอยู่ที่นั่น
ใบหน้าที่ราวกับเหลือแต่กะโหลก ดวงตาลึกโบ๋จนกลายเป็นหลุมดำ ปากอ้าค้าง ราวกับก่อนตายพยายามสูดอากาศหายใจตามสัญชาตญาณ
สวี่ชิงกะพริบตาอีกครั้ง
เก้าอี้ไม่โยกแล้ว ร่างเงาเลือนรางร่างหนึ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้ สาวเท้าเดินไปหาชายชรา จนกระทั่งไปอยู่เบื้องหน้าศพ จากนั้นก็กลายเป็นหญิงชราหลังงุ้ม
นางถือชามหินอยู่ในมือ ในชามเป็นสิ่งที่เหมือนโจ๊กสีเลือด ป้อนไปในปากศพที่อ้าค้างอยู่ทีละคำ
ลมหยินเย็นกว่าเดิม เสียงหัวเราะที่เหมือนเสียงร้องไห้ดังก้องไปอาณาบริเวณ วัชพืชบนพื้นโยกไหวพร้อมกัน ขณะที่อาณาเขตอึมครึมขึ้น ก็เห็นว่าไม่ว่าจะชายชราที่ผูกคออยู่หรือหญิงชราที่ป้อนข้าวต้มล้วนสีหน้าขาวซีด มีเพียงปากที่สีแดงก่ำ
หลังจากหญิงชราป้อนข้าวต้มสีเลือดไปครึ่งชามในขณะที่สวี่ชิงกำลังจดจ้องอยู่ จู่ๆ นางก็ยกมือขึ้นดึงหัวของชายชราออกมา
“ตาแก่ ตาเจ้าป้อนข้าแล้ว!” เสียงหญิงชราแหบพร่ามาก ราวกับก้อนหินเสียดสีกัน เสียดหูเหลือคณา
ศพยังคงลอยอยู่ ด้านบนเป็นเชือกเส้นหนึ่ง ตรงกลางว่างโล่ง แม้จะไม่มีศีรษะ แต่พวกมันก็ยังรักษาสภาพเดิมเอาไว้ ไม่ขยับเขยื้อน
ส่วนหญิงชราก็วางหัวของชายชราลงข้างๆ อย่างพึงพอใจ จากนั้นก็ดึงหัวของตนออกมา วางไว้ที่คอของชายชราที่แขวนไว้ด้วยเชือก

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา