บทที่ 291 เกรียงไกรไร้ผู้เทียมทาน
สวี่ชิงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา หลังจากเก็บซ่อนทุกอย่างลงไปแล้วก็ขัดสมาธินั่งสมาธิอีกชั่วยามกว่าๆ
ด้านหนึ่งคือทำเรื่องที่ทะลวงเปิดช่องเวทไม่สำเร็จให้สมบูรณ์ ไม่เผยช่องโหว่ให้เห็น
อีกด้านคือการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเขาหลังจากที่สัมผัสไฟชีวิตสี่ดวง
กำลังรบชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง พัฒนาไปอย่างมาก
นอกจากนี้ สวี่ชิงยังสัมผัสได้ว่าช่องเวทหนึ่งร้อยยี่สิบช่องไม่ใช่ขีดจำกัดสูงสุดจริงๆ ด้วย เขาสัมผัสได้ลางๆ ว่าตัวเขายังไม่สมบูรณ์แบบ ขาดช่องเวทไปหนึ่งช่อง
‘สิ่งที่ขาดไปก็คือช่องเวทที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดที่ท่านอาจารย์บอกไว้ ซึ่งก็เป็นช่องเวทช่องสุดท้ายที่ผู้บำเพ็ญไฟชีวิตสี่ดวงต่างเฝ้าปรารถนาที่จะทะลวงเปิด’
สวี่ชิงพึมพำในใจ
‘ระหว่างความเป็นความตายถึงจะทะลวงเปิดช่องเวทช่องที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดได้อย่างนั้นหรือ’ สวี่ชิงลองหาแต่ก็ไร้ผล นึกถึงคำพูดของนายท่านเจ็ด ในขณะเดียวกับที่ครุ่นคิด ก็ไม่ได้รีบร้อนไปทะลวงเปิดช่องเวทช่องสุดท้ายนี้
“คัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณมีเพียงฝึกบำเพ็ญจนถึงขั้นบริบูรณ์เท่านั้นจึงจะสำแดงพลังที่แท้จริงของมันได้…สะกดวิญญาณระดับเดียวกันเอาไว้ในช่องเวทที่มีระดับสอดคล้องกัน
“ช่องเวทหนึ่งร้อยยี่สิบช่องของข้า สะกดได้หนึ่งร้อยยี่สิบวิญญาณ!
“เช่นนี้แล้ว ในขณะเดียวกับที่ทำให้พลังช่องเวทของข้าเพิ่มขึ้น ก็สามารถสำแดงวิชาพิฆาต กลืนกินวิญญาณ…เพลิงวิญญาณสลัวได้!” สวี่ชิงพึมพำ นอกจากนี้เขายังรู้ดีอีกว่าหากวิญญาณหนึ่งร้อยยี่สิบดวงถูกตนสะกด ก็จะแปรเปลี่ยนให้เป็นตัวตนที่เหมือนกับวิญญาณศัสตราได้ ทำให้เรือเวทของตนยกระดับเป็นเรือศึกเวททันที
พลังเพิ่มขึ้นมหาศาล
“ถึงตอนนั้นหากทะลวงเปิดช่องเวทที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดไม่ได้ ข้าก็ไม่จำเป็นทำทุกเรื่องให้ถึงขีดจำกัดสูงสุด ก้าวเข้าสู่ระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์ไปเลย”
สวี่ชิงตัดสินใจเด็ดเดี่ยว กำลังจะลุกขึ้นจากไป แต่สายตาเพียงกวาดก็จับจ้องไปที่หัวอสรพิษปีศาจและหมุดสวรรค์มหึมาที่อยู่กลางทะเลสาบสีเลือด
มองหมุดสวรรค์ สวี่ชิงสัมผัสได้รางๆ ถึงพลังน่าครั่นคร้ามที่แผ่ออกมาจากในนั้น ตามประวัติศาสตร์ที่เขารู้ หมุดนี้เป็นวัตถุที่หลอมขึ้นในพริบตาจากการที่จักรพรรดิโบราณหลอมห้าธาตุขึ้นมาได้อย่างสบายๆ
เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่านั่นเป็นพลังบำเพ็ญแบบใดที่แค่เอื้อมมือคว้าไปง่ายๆ ก็หลอมหมุดที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง สะกดอสรพิษปีศาจระดับหวนสู่อนัตตาขอบเขตใหญ่ขั้นที่สองได้แสนปี
อีกทั้งอสรพิษปีศาจเหี่ยวแห้ง แต่หมุดยังคงอยู่
‘ไม่รู้ว่าเมื่อใดข้าจะทำแบบนี้ได้บ้าง’ จิตใจสวี่ชิงเกิดคลื่นซัดโหม มองหมุดสวรรค์ก็พลันเกิดความรู้สึกเหมือนมองดาบสะบั้นไพศาลในตอนนั้น
ในดวงตาของเขาค่อยๆ มีประกายแสงแปลกประหลาดปรากฏขึ้น พยายามลองวาดเค้าโครงของหมุดนี้ขึ้นมาในใจ
ที่ศาลเจ้าในพื้นที่ต้องห้ามฐานที่มั่นคนเก็บกวาดในตอนนั้นเขาก็ทำแบบนี้
เพียงแต่ระดับของหมุดสวรรค์นี้สูงมาก การวาดเค้าโครงของสวี่ชิงไม่ราบรื่น เหมือนรูปร่างของหมุดนี้ยากที่คนจะจำได้อย่างชัดเจน มีท่วงทำนองเต๋ากลุ่มหนึ่งรบกวน
จนเมื่อเวลาอยู่ในแดนวาสนาของเขาถึงขีดจำกัด สวี่ชิงก็แค่กล้อมแกล้มฝังเค้าร่างรางเลือนของมันเอาไว้ในใจได้เท่านั้น
ยังต้องลอกแบบหมุดนี้ต่อไป เช่นนี้บางทีอาจจะมีเศษเสี้ยวของความเป็นไปได้ เหมือนตอนที่สัมผัสดาบสะบั้นไพศาลแบบนั้น ค่อยๆ สำแดงมันออกมา
ท้ายที่สุดแล้วจะสำเร็จหรือไม่ สวี่ชิงเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
เขาแค่รู้สึกว่าหมุดสวรรค์นี้แฝงไว้ด้วยจิตน่าตื่นตะลึง จิตนี้น่าครั่นคร้าม หากตนสำแดงมันออกมาได้ ด้านการโจมตีสังหารจะต้องน่ากลัวจนถึงขีดสุดแน่นอน
“น่าเสียดายหากคัดลอกจิตของมันที่นี่ได้ทุกวัน บางทีความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จก็อาจจะมากขึ้น” สวี่ชิงเสียดายนิดๆ ในเสี้ยวพริบตาที่เขาลุกขึ้น ข้างหน้าก็มีคลื่นวนลูกหนึ่งปรากฏขึ้น
ไม่ยอมให้ปฏิเสธ แรงดูดของคลื่นวนลูกนี้ปกคลุมเงาร่างของเขาในพริบตา ที่ถูกคลื่นวนประเภทนี้เข้าปกคลุมยังมีนายกองที่จ้องเขี้ยวนั่นอยู่ตลอดกับอู๋เจี้ยนอูที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าใจ
เงาร่างทั้งสามหายไปในทันที ในตอนที่ปรากฏขึ้นอีกครั้งก็มีอยู่ที่นอกแดนวาสนาสำนักโลกันต์ทมิฬแล้ว
ในตอนที่เข้าไป อารมณ์ของพวกเขาทั้งสามแตกต่างกันไป สวี่ชิงจิตใจซับซ้อนกับการมาของของจอมเซียนจื่อเสวียน อู๋เจี้ยนอูเฝ้ารอร่องรอยของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวที่เลื่อมใสบูชา นายกองนั้นทอดถอนใจที่จอมเซียนจื่อเสวียนมาช้าไป
แต่ในตอนออกมา อารมณ์ของพวกเขาทั้งสามคนนั้นเหมือนกัน ล้วนมีความรู้สึกเสียดายมาก
สวี่ชิงเสียดายที่เวลาน้อยมาก ไม่สามารถสัมผัสรับรู้หมุดได้นาน อู๋เจี้ยนอูเสียดายที่ตัวเองยังไม่สะใจ และครั้งหน้าหากอยากมาก็ต้องจ่ายด้วยหินวิญญาณมหาศาล
ส่วนนายกองก็เสียดายที่เขี้ยวนั่นยังไม่ใช่ของตัวเอง
ทั้งสามคนทอดถอนใจไปจากสำนักโลกันต์ทมิฬด้วยความรู้สึกเสียดายเช่นนี้เอง
และในเสี้ยวพริบตาที่ลงเขามา แผ่นหยกสื่อเสียงของสวี่ชิงก็พลันมีข้อความจำนวนมหาศาล เขาเปิดออกอย่างประหลาดใจ หลังจากอ่านแล้วสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที จิตสังหารพุ่งขึ้นในตัวสวี่ชิงทันที
ในนั้นล้วนเป็นเรื่องที่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องออกจากด่าน จะท้าประลองกับเขาทั้งสิ้น เวลาคือเมื่อสองวันก่อน สถานที่ไม่ใช่สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า และก็ไม่ใช่สำนักเจ็ดเนตรโลหิต แต่เป็นพื้นที่ที่ห่างไปจากที่นี่ไม่ไกลแห่งหนึ่ง
ที่นั่นชื่อว่าเขามรรคาทมิฬเป็นพื้นที่ของขั้วอำนาจสำนักโลกันต์ทมิฬ เป็นหนึ่งในสี่ลานเต๋าของพันธมิตรแปดสำนัก
ปกติแล้วจะมีผู้แข็งแกร่งของพันธมิตรแปดสำนักไปแสดงเต๋าที่นั่นเป็นบางครั้ง
มองแผ่นหยก สายตาของสวี่ชิงเย็นชา ในขณะเดียวกับกลิ่นอายเย็นยะเยือก จิตสังหารก็ปะทุขึ้นในใจ
เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง เป็นศัตรูร้ายกาจที่ประมือด้วยยากลำบากที่สุดนับจากที่เขาบำเพ็ญเพียรมา
นายกองก็ได้รับข้อมูลจากโลกภายนอกแล้วเหมือนกัน หลังจากตรวจสอบแล้วก็พลันหัวเราะ
“อาชิงน้อย เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องน่าจะทะลวงไฟชีวิตห้าดวงแล้ว ต้องการความช่วยเหลือจากศิษย์พี่หรือไม่”
“ขอบคุณศิษย์พี่มาก แต่ข้าทำให้เขาพ่ายแพ้มาแล้วครั้งหนึ่ง ก็ทำให้เขาแพ้ครั้งที่สองได้” สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง เงยหน้ามองท้องฟ้า หลังจากคำนวณเวลาแล้ว ก็เปลี่ยนทิศทางไปยังเขามรรคาทมิฬเลย
เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องอยากประลองตัดสินเป็นตายกับสวี่ชิง สวี่ชิงก็อยากประลองแบบนี้เช่นกัน ตอนนี้เขารู้วิธีที่ทำให้เคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิยกระดับได้เร็วที่สุดแล้ว นั่นก็คือกลืนกินเลือดจากสารกาย ปราณและจิตของคนที่ฝึกบำเพ็ญเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดินั่นเอง
ดังนั้นสวี่ชิงจึงพุ่งตรงไปยังเขามรรคาทมิฬด้วยความกระหายในเมี่ยเหมิงของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ส่วนนายกองก็ตามอยู่ข้างหลัง



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา