บทที่ 301 วัตถุสิ่งประหลาด
เช้าตรู่ ในพันธมิตรแปดสำนัก สวี่ชิงควบคุมเรือเวทที่ผ่านการอำพรางพุ่งหวีดหวิวออกไป
ด้วยความเร็ว เพียงพริบตาก็ห่างออกจากเมืองหลัก
ตอนแรกแม้เขาจะใช้เส้นทางของแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพ แต่เพียงไม่นานเรือเวทก็เปลี่ยนทิศ ออกห่างจากภูเขาหลุดพ้นชัยตระการ ตรงไปทางทิศสำนักเซียนชัยตระการแทน พุ่งไปอย่างรวดเร็ว
“พี่สวี่ชิง นี่เป็นการออกจากสำนักครั้งแรกตั้งแต่ที่ข้ามาถึงมณฑลรับเสด็จราชัน หากมีอะไรที่ข้าไม่รู้ ท่านก็บอกข้าหน่อยนะเจ้าคะ ข้าจะปรับปรุง” บนเรือเวท ใบหน้าสวยหยาดเยิ้มของติงเสวี่ยแดงระเรื่อ ภายใต้ขนตางามงอน ดวงตาพราวเสน่ห์กะพริบเบาๆ เอ่ยเสียงใส
จากนั้นนางก็ล้วงตั๋วหินวิญญาณมูลค่าหนึ่งร้อยก้อนออกมาปึกหนึ่ง ดูแล้วน่าจะยี่สิบสามสิบใบ ยื่นให้สวี่ชิงอย่างเป็นธรรมชาติ
สวี่ชิงรับไปตามสัญชาตญาณ มองติงเสวี่ยตรงหน้า
ติงเสวี่ยก็แอบยืดหน้าอกเล็กๆ นั่นขึ้นอย่างแนบเนียน
วันนี้ติงเสวี่ยอยู่ในชุดกระโปรงผ้าโปร่งสีม่วง ที่เอวผูกผ้าไหมสีแดง ผมยาวระบ่า ด้านหลังสะพายกระบี่โบราณไว้เล่มหนึ่ง เรือนร่างดูแล้วแม้จะสู้เสน่ห์น่าหลงใหลระดับสั่นสะเทือนจิตวิญญาณของจอมเซียนจื่อเสวียนไม่ได้ แต่กลิ่นอายอ่อนเยาว์รวมถึงใบหน้าขาวแดงระเรื่อนั่น ก็ทำให้นางเปี่ยมไปด้วยความงามและมีชีวิตชีวาจากภายในถึงภายนอก
โดยเฉพาะเอวที่คอดกิ่วแต่เดิมของนาง การพันผูกด้วยผ้าไหมนั่นก็ยิ่งรู้สึกถึงความละเอียดอ่อนขึ้นไปอีก และความน่าเอ็นดูรวมถึงการหยิบหินวิญญาณให้สวี่ชิงล่วงหน้าอย่างเคารพความรู้นั่น ก็ทำให้สวี่ชิงรับการติดตามของติงเสวี่ยได้
การเดินทางครั้งนี้ นายท่านเจ็ดไม่ได้อยู่บนเรือ
ในเมื่อเป็นการตกปลา เช่นนั้นก็ต้องซ่อนอยู่เบื้องหลัง เช่นนี้จะทำให้ปลามาติดเบ็ด ขณะเดียวกันก็เพื่อทำให้สมจริงหน่อย บางทีติงเสวี่ยอาจถูกป้าของนางเป่าหู ดังนั้น…การเดินทางครั้งนี้ จึงเปลี่ยนเป็นติงเสวี่ยกับสวี่ชิงมาด้วยกัน
ภารกิจของพวกเขา คือสำรวจรัฐเล็กๆ ที่เลือกพึ่งพาเจ็ดเนตรโลหิตแห่งหนึ่ง ช่วงนี้เกิดเรื่องประหลาดขึ้น
นอกจากนี้สวี่ชิงก็เข้าใจว่าที่นายท่านเจ็ดทำเช่นนี้แล้วให้ตนเองพาติงเสวี่ยออกมาด้วย ถึงอย่างไรในโลกาวินาศนี้ แม้พลังบำเพ็ญของติงเสวี่ยจะทะลวงขั้นถึงสร้างฐาน แต่ก็ยังไม่มีไฟชีวิตเลยสักดวง
โดยเฉพาะนิสัย ยังต้องมีการขัดเกลาอยู่
สิ่งเดียวที่ทำให้สวี่ชิงรู้สึกประหลาดก็คือ เขากลับไม่เห็นเจ้าจงเหิงเลย
ทว่าเขาก็ไม่ได้ถามไถ่ แต่ดึงสายตาพิจารณาติงเสวี่ยกลับมา เอ่ยอย่างสงบ
“มณฑลรับเสด็จราชันไม่เหมือนปักษาสวรรค์ทักษิณ ด้านนอกอันตรายมาก เจ้าต้องระวังตัวด้วย นอกจากนี้สิ่งของบนเรือก็อย่าไปแตะต้องซี้ซั้ว มีพิษทั้งนั้น”
ต่อหน้าติงเสวี่ย สวี่ชิงไม่สะทกสะท้านเลย พูดจบก็หลับตาลงนั่งสมาธิ สีหน้ากับกลิ่นอายมีการอำพรางไว้
แม้นายท่านเจ็ดจะตกปลา แต่หากไม่ปิดบังอำพรางเสียหน่อย ก็จะดูหลอกลวงเกินไป
ติงเสวี่ยรีบร้อนพยักหน้า ในใจเต็มไปด้วยความดีใจและยิ่งภาคภูมิใจ เพื่อจะเดินทางครั้งนี้ นางไปประจบท่านน้าอยู่นานสองนาน ถึงได้รับโอกาสนี้มา
ตอนนี้เห็นสวี่ชิงฝึกบำเพ็ญ นางก็ไม่เข้าไปรบกวนอย่างเชื่อฟัง แต่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ มองทิวทัศน์ไปรอบๆ บางครั้งดวงตางามก็เหลือบมามองสวี่ชิง
ต่อให้สวี่ชิงจะปิดบังหน้าตา แต่ในหัวนางก็สามารถผุดภาพหน้าตาสวี่ชิงในความทรงจำนางออกมาได้ เมื่อคิดถึงใบหน้าหล่อเหลาราวปีศาจนั่น ใบหน้างามของนางก็แดงระเรื่อขึ้นมา
อันที่จริงต่อให้มาถึงเมืองหลักพันธมิตรแปดสำนัก ช่วงนี้นางเองก็เห็นคนมามากมาย แต่นางก็รู้สึกว่าไม่มีใครที่หน้าตาเทียบเคียงสวี่ชิงได้เลย
สิ่งนี้ทำให้นางที่อยากจะครอบครองสวี่ชิง ยิ่งรุนแรงและยึดมั่นขึ้นไปอีก
เวลาผ่านไปสามวัน
ในสามวันนี้ เวลาส่วนใหญ่ที่นางอยู่กับสวี่ชิงล้วนเงียบสงบ เขานั่งสมาธิ ติงเสวี่ยก็มองเขา และทุกครั้งที่สวี่ชิงลืมตา ติงเสวี่ยก็จะล้วงพวกยาลูกกลอนพร้อมกับตั๋ววิญญาณออกมาถามไถ่ ด้วยท่าทางใฝ่รู้ใฝ่เรียน
สวี่ชิงรู้สึกว่าอยู่ด้วยกันเช่นนี้ดีมาก ดังนั้นหลังจากที่ลองชิมยาลูกกลอน จึงชี้แนะติงเสวี่ยอย่างตั้งใจตามความรู้ของตนเอง
ติงเสวี่ยตั้งใจฟังทุกครั้ง ดวงตาเผยความนับถือศรัทธา บางครั้งคำพูดที่พูดออกมาก็อ่อนโยน เมื่อได้ยินก็ทำให้ผู้ที่ฟังรู้สึกสบายใจ เกิดความรู้สึกอยากจะพูดต่อ
ติงเสวี่ยไม่ได้เตรียมจุดนี้ไว้ล่วงหน้า หลังจากสวี่ชิงสัมผัสได้ จึงอดไม่ได้ที่จะมองติงเสวี่ยมากขึ้นหน่อย
ในใจติงเสวี่ยมีความสุข นี่เป็นสิ่งที่ท่านป้าสอนนางมา
ขณะเดียวกันนางก็คอยสังเกตสีท้องฟ้าอยู่ตลอด คอยมองหาโอกาส และผ่านไปอีกเจ็ดวันเช่นนี้
ในที่สุด นางก็พบกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่นางเฝ้ารอ
คืนนี้ ฟ้าร้องครืนครัน สายอัสนีแล่นแปลบปลาบ ฝนตกลงมาห่าใหญ่ โลกภายนอกเป็นฝนอันหนาวเหน็บ ฟ้าร้องกึกก้องผ่านเมฆ
สีหน้าติงเสวี่ยขาวซีด ตำแหน่งที่นางนั่งอยู่ ห่างจากสวี่ชิงไม่มากนัก แต่นางก็ไม่เข้าใกล้ ทุกครั้งที่ฟ้าผ่า นางก็ตัวสั่นขึ้นมา
สวี่ชิงลืมตามองติงเสวี่ย
“พี่สวี่ชิง ตอนข้ายังเล็กไม่ได้อยู่ข้างกายท่านพ่อท่านแม่ ทุกครั้งในคืนที่ฝนตกฟ้าคะนองก็จะไปนั่งหลบในมุม แม้ข้าจะเป็นผู้บำเพ็ญ แต่ก็ยังกลัวฟ้าร้องอยู่บ้าง โดยเฉพาะคืนที่ฝนตกจะรู้สึกหนาว แต่ไม่เป็นไร ข้าไหว พี่สวี่ชิงฝึกบำเพ็ญต่อเถิด ไม่ต้องสนใจข้า”
เสียงติงเสวี่ยแผ่วเบา ถึงตอนท้าย เสียงของนางก็พึมพำแผ่วเบา
“ข้าชินแล้ว” พูดพลางนางก็หดตัวเข้ามุมหัวเรือในสภาพน่าสงสาร
สวี่ชิงครุ่นคิดก็ล้วงขวดน้ำเต้าสุราออกมา ส่งให้ติงเสวี่ย

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา