บทที่ 302 บรรพจารย์สร้างคุณงามความชอบ
“สิ่งของหรือ” ในตอนที่สวี่ชิงครุ่นคิด เจ้าเงาก็ส่งระลอกคลื่นอารมณ์ชัดเจนต่อ
“นาย…รอ…สร้าง…”
ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้บรรพจารย์สำนักวัชระมาแปลสวี่ชิงก็เข้าใจความคิดของเจ้าเงาได้คร่าวๆ มันกำลังบอกให้เขารอหน่อย เรื่องนี้มันทำได้ ใช้เรื่องนี้มาสร้างคุณงามความชอบ
สวี่ชิงจึงพยักหน้า
“นายท่าน จะอย่างไรเจ้าเงาก็ยังอายุน้อย เรื่องนี้ข้าคิดว่าให้ข้าตามไปดูด้วยจะดีกว่าขอรับ” เห็นเจ้าเงาใจร้อนสร้างคุณงามความชอบ ความรู้สึกวิกฤตอันตรายของบรรพจารย์สำนักวัชระรุนแรง รีบส่งกระแสจิตบอกสวี่ชิง
สวี่ชิงเห็นด้วยเหมือนกัน ดังนั้นเสี้ยวขณะต่อมา เงาของเขาก็หายไปจากพื้นทันที เหล็กแหลมสีดำที่บรรพจารย์สำนักวัชระสิงอยู่ในนั้นก็พุ่งออกมาเอง เพียงพริบตาก็จากไปไกล
สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิบนหลังคา รอคอยเงียบๆ ติงเสวี่ยกะพริบตาปริบๆ นางมองไม่เห็นเจ้าเงา ส่วนความเร็วของเหล็กแหลมสีดำก็เทียบได้กับความเร็วของผู้บำเพ็ญไฟชีวิตสองดวง ดังนั้นในสายตาของติงเสวี่ยก็ไม่อาจมองเห็นได้เช่นกัน
เห็นสวี่ชิงนั่งลง นางก็นั่งลงอย่างว่าง่ายข้างๆ เช่นกัน เอาขนมออกมากล่องหนึ่งวางไว้ข้างๆ สวี่ชิง
สวี่ชิงเงยหน้ามองติงเสวี่ยแวบหนึ่ง
“พี่สวี่ชิง นี่เป็นขนมที่ข้าทำเอง ไม่รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร ข้าคิดไว้ว่าหลังจากที่หัดทำบ่อยๆ แล้วจะให้ท่านน้า ท่านน้าเขยแล้วก็ท่านตา ท่านช่วยข้าชิมแล้วชี้แนะก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ”
ติงเสวี่ยพูดพลางยื่นตั๋ววิญญาณปึกหนึ่งออกไปอย่างเคยชิน
สวี่ชิงเงียบนิ่ง แผ่ประสาทสัมผัสไปรอบๆ แม้จะหาไม่เจอว่าอาจารย์อยู่ที่ใด แต่เขารู้สึกว่าเป็นไปได้สูงมากว่าอาจารย์คอยจับตามองตน จึงไม่ได้รับตั๋ววิญญาณมา แต่หยิบขนมมาชิ้นหนึ่งแล้วกัด
“พอใช้ได้”
ติงเสวี่ยดีใจมาก นั่งอยู่ตรงนั้นมองไปรอบๆ พลางเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
“พี่สวี่ชิง พวกเราจะไปจับสิ่งประหลาดนั่นเมื่อไรหรือ เวลาสังหารที่ข้าอ่านจากเอกสารสำนักใกล้จะถึงแล้ว…”
“กำลังจับอยู่” สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง มองไปที่ไกล
ในเมืองตอนนี้ บรรพจารย์สำนักวัชระแต่เดิมนั้นตามเจ้าเงา แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ชอบบรรพจารย์สำนักวัชระ จึงแอบซ่อนอย่างรวดเร็ว
“ไอ้เจ้าเงาตัวแสบ คิดหรืออย่างไรว่าข้าบรรพจารย์คนนี้ต้องขอแบ่งคุณงามความชอบของเจ้า ครั้งนี้ข้าจะให้เจ้าได้เห็นความเก่งกาจของบรรพจารย์” บรรพจารย์สำนักวัชระแค่นเสียงขึ้นจมูกในใจ หลังจากเปลี่ยนทิศทาง เพียงไหววูบก็แปลงเป็นร่างมนุษย์ ทั้งยังเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์อีกด้วย ทั้งตัวดูแล้วไม่แตกต่างอะไรกับประชาชนที่นี่ กลืนไปกับฝูงคนหายลับไป
เวลาค่อยๆ หมุนผ่านไปเช่นนี้เอง ทางเจ้าเงาทางนั้นแผ่ลามออกไปเร็วมาก เจอสิ่งแปลกประหลาดตนแล้วตนเล่า โดยพื้นฐานแล้วล้วนกระโจนไปหาทันที กัดกินในเสี้ยวพริบตา
แต่สิ่งประหลาดในเมืองนี้ตายไปตนหนึ่งก็เกิดขึ้นตนหนึ่ง อีกทั้งบริเวณที่ปรากฏก็ไม่มีกฎเกณฑ์ เหมือนปรากฏมาจากความว่างเปล่า คล้ายว่าจะฆ่าอย่างไรก็ไม่มีวันหมด
แต่ข้อดีของเรื่องนี้ก็เห็นได้ชัด เพราะตลอดจนยามพลบค่ำมาเยือน เหตุการณ์ตายที่ควรจะเกิดขึ้นในวันนี้ก็ไม่เกิดขึ้น
และจำนวนของสิ่งประหลาดก็มากขึ้นเรื่อยๆ จากการมาเยือนของแสงจันทร์ เหมือนว่าหากการฆ่าวันนี้ไม่สำเร็จ มันจะไม่เลิกรา จนสุดท้าย สวี่ชิงที่นั่งอยู่บนหลังคาในดวงตาก็ฉายแววเคร่งเครียดออกมา
เขามองรัฐเล็กใต้แสงจันทร์ สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในรัฐเล็กๆ ตอนนี้มีความเย็นยะเยือกปะทุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วเจ้าเงาตอนนี้ก็ยุ่งจนหัวหมุน กลืนกินสิ่งประหลาดจำนวนมหาศาลที่ปรากฏขึ้นมาไม่หยุด
“การแทรกแซงของข้าทำให้สิ่งประหลาดเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ขึ้น…” ขณะสวี่ชิงพึมพำ ติงเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศไม่ชอบมาพากล ในตอนที่กังวลเล็กน้อย แสงสีดำทางหนึ่งก็มาถึงอย่างรวดเร็ว ลอยอยู่ข้างหน้าสวี่ชิงก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเหล็กแหลมสีดำ
จิตเทพกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากในนั้นแล้วถ่ายทอดไปในใจสวี่ชิง
“นายท่าน ข้าหาต้นตอเจอแล้ว เจ้าเงาจะอย่างไรก็อายุน้อย รู้จักเพียงใช้กำลังทำลาย แต่กลับไม่รู้ว่าสิ่งประหลาดที่ปรากฏขึ้นไม่หยุดประเภทนี้ยิ่งกระตุ้นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น สรุปแล้วหากจะทำลายมันก็ต้องหาที่ต้นตอของมัน
“และต้นตอโดยปกติแล้วก็ซ่อนเร้นนัก อีกทั้งเบาะแสก็ไม่มีทางปรากฏขึ้นในช่วงนี้ด้วย มักจะซ่อนอยู่ในเรื่องเล็กบางอย่างก่อนหน้านี้สักช่วงระยะเวลาหนึ่งมาแล้ว
ข้าจึงแปลงร่างไปในรัฐเล็กรัฐนี้ เปลี่ยนตัวตนหลายครั้งสืบว่าหลายปีมานี้ที่นี่มีเรื่องประหลาดอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ สุดท้ายข้าก็สืบได้ว่า เมื่อสองปีก่อน รัฐนี้มีหมอคนหนึ่ง วิชาแพทย์สูงส่งนัก และเวลาเขารักษาจะมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือจะให้กระจกบานเล็กกับคนป่วยบานหนึ่ง ให้พวกเขาวางไว้บนหัวเตียง”
สวี่ชิงได้ยินดังตาก็จ้องเพ่ง
“หมอคนนั้นอยู่ที่นี่นานเท่าใด และมีกี่คนที่วางกระจกบานนี้ไว้ที่หัวเตียง
“เรียนนายท่าน ข้าน้อยได้ตรวจเรื่องเหล่านี้ชัดเจนแล้ว หมอคนนี้รักษาอยู่ที่รัฐนี้สามเดือนก็จากไป ตอนนั้นสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเรายังไม่ได้มาพันธมิตร ดังนั้นลูกศิษย์ที่ประจำการอยู่ที่นี่จึงไม่รู้เรื่องนี้
“ทว่าข้าน้อยได้เดินทางไปยังบ้านที่แขวนกระจกเหล่านั้นแล้ว ว่าไปแล้วก็น่าสนใจ กระจกเล็กบานนี้หากเปลี่ยนผู้บำเพ็ญคนอื่นไปดูน่ากลัวว่าคงยากจะมองร่องรอยออก แน่นอน นายท่านเป็นคนละกรณี
“และข้าก็ซึมซับจากนายท่านมานานหลายปี ย่อมรอบรู้กว้างขวาง พบร่องรอยของวิญญาณศัสตราบางๆ”
สวี่ชิงปรายตามองบรรพจารย์สำนักวัชระ
“ข้าน้อยรู้ดังนั้นจึงหาไปตามร่องรอยนี้ สุดท้าย ณ บ้านของขุนนางผู้มีอำนาจคนหนึ่งในรัฐนี้ ข้าน้อยก็ได้เห็นกระจกบานหนึ่งแขวนอยู่ที่หลังคา น่าจะเป็นต้นตอวัตถุหลัก
“หากข้าวิเคราะห์ไม่ผิด หมอคนนั้นจะต้องเป็นผู้บำเพ็ญนอกรีตอย่างแน่นอน ใช้วิธีนี้ฝากไว้ในกระจกบานนี้ อีกทั้งของวิเศษประเภทนี้ก็ไม่อาจวางไว้ไกลได้ ดังนั้นผู้บำเพ็ญนอกรีตคนนี้จะต้องซ่อนตัวอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากรัฐเล็กแน่นอน เพื่อสะดวกให้เขาเฝ้ามองและเอาของวิเศษกาฝากชิ้นนี้ไปได้ทุกเวลา”



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา