บทที่ 330 แสงอาทิตย์อัสดงยังคงเจิดจ้าพร่างพราย
ภาพนี้ทำให้ทำให้พวกสวี่ชิงทั้งสามคนต่างอึ้งตะลึง แม้ว่าก่อนที่จะมาพวกเขาก็เข้าใจที่นี่มากแล้ว อีกทั้งหนทางที่มาก็ได้เห็นอะไรมากมาย
แต่ตอนนี้ที่นี่ หลังจากได้เห็นดินแดนเหี้ยมโหดขุนเขาทมิฬทั้งสามลูกนี้แล้ว ในใจก็เกิดคลื่นซัดโหม
เพียงแต่ระลอกคลื่นของเหยียนเหยียนแปรเปลี่ยนเป็นอาการสั่นสะท้าน
ส่วนระลอกคลื่นของสวี่ชิงแปรเปลี่ยนเอาวัตถุอำพรางกายที่ได้มานับจากที่ฝึกฝนออกมาอีกทันที หลังจากที่สวมใส่ไว้บนร่างแล้วก็กระตุ้นขึ้น
ส่วนนายกอง…แตกต่างกับพวกเขาโดยสิ้นเชิง ระลอกคลื่นอารมณ์ของเขาแปรเปลี่ยนเป็นประกายหิวกระหายที่ไม่อาจควบคุมเอาไว้ได้ เขาจ้องภูเขาสามลูกนั้นตาไม่กะพริบ หายใจหอบถี่
“ของวิเศษ นี่ก็เป็นของวิเศษเหมือนกัน!!”
เหยียนเหยียนได้ยินดังนั้นก็มองไปทางนายกองเหมือนเห็นผี ดวงตาเบิกกว้าง
สวี่ชิงชินแล้วจึงไม่สนใจ แต่หลังจากคิดๆ แล้วก็ให้ของอำพรางกายจำนวนหนึ่งกับเหยียนเหยียน
การกระทำของเขาดึงความสนใจของเหยียนเหยียนทันที ถือของที่สวี่ชิงให้มา ในดวงตาของเหยียนเหยียนฉายแววแปลกประหลาด อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วขึ้นมากัด
“ที่นี่ข้ามไปยาก ศิษย์พี่ใหญ่ โถงครองกระบี่ที่ท่านว่าจะมาถึงเมื่อไร” จู่ๆ สวี่ชิงก็เอ่ยขึ้น เบนสายตาจากขุนเขาทมิฬลูกใหญ่ จับจ้องไปข้างล่างภูเขา
ตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้เป็นภูเขาลูกหนึ่งเหมือนกัน ทั้งสามคนหมอบอยู่ข้างหลังหินก้อนใหญ่บนยอดเขา ทอดสายตามองไปที่ไกล
และภูเขาที่พวกเขาอยู่ เป็นหนึ่งในขุนเขาทั้งหลายรอบๆ ไม่เป็นจุดเด่น อีกทั้งความสูงเมื่อเทียบกับขุนเขาดำทมิฬทั้งสามลูกแล้วก็เตี้ยกว่ามาก แต่ก็ยังสามารถสังเกตทุกอย่างได้
ตอนนี้ทอดสายตามองไปรอบๆ ภูเขาดำทมิฬทั้งสามลูกลอยอวลไปด้วยหมอกบางๆ หมอกพวกนี้ไหลบิดม้วนไปในฟ้าดิน แปรเปลี่ยนเป็นหัวผีมหึมามากมาย วนรอบภูเขา ปากส่งเสียงร้องสะอึกสะอื้น
ส่วนบนพื้นก็จะเห็นเมืองสีดำเป็นเมืองๆ
ในเมืองพวกนี้เสียงเอะอะโหวกเหวก ในนั้นมีเสียงร้องแปลกประหลาดต่างๆ นานา เสียงคำรามเหี้ยมเกรียมและเสียงหัวเราะโหดเหี้ยมที่แฝงด้วยความกระหายเลือดดังไปทั่วทิศ
ในนั้นล้วนเป็นลูกศิษย์ของเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา ยิ่งมีมนุษย์ธรรมดาจำนวนมหาศาลเอามาเป็นทาสรับใช้และอาหาร ใช้ชีวิตอย่างทรมานมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายในนั้น
ส่วนลูกศิษย์เขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาเหล่านั้น เดิมก็มีความหลากหลายอยู่แล้ว มีทุกเผ่าพันธุ์ พวกเขาล้วนเป็นคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ภายใต้การคุ้มครองของสามเทพวิญญาณ ก็กลายเป็นลูกศิษย์ของที่นี่
ผู้บำเพ็ญระดับล่างก็มีเหมือนกัน ส่วนมากแล้วล้วนถูกจับมาหรือไม่ก็ยกระดับจากคนธรรมดา เอามาใช้เป็นทรัพยากรชดเชย
ไม่ว่าหน้าไหนก็ล้วนสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปแล้ว สิ่งที่มีมีเพียงแค่ความคิดชั่วร้ายเท่านั้น
มีเพียงเช่นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้
ทุกอย่างนี้สะท้อนเข้ามาในดวงตาของพวกสวี่ชิงทั้งสามคน ภูตผีปีศาจนับไม่ถ้วนพวกนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นอุปสรรคแรกในการมุ่งหน้าไปสู่เขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาของพวกเขา
โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งในนั้นมีจำนวนไม่น้อย ลำพังเพียงแค่สายตากวาดไปลวกๆ สวี่ชิงก็สัมผัสถึงระลอกคลื่นพลังแข็งแกร่งมากมายได้
ดีที่พวกเขาอำพรางกายได้โดยสมบูรณ์ อีกทั้งพลังบำเพ็ญจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้สะดุดตาขนาดนั้น ดังนั้นขอแค่ตัวเองไม่ได้เคลื่อนไหวโดดเด่น ก็ไม่มีทางถูกค้นพบในช่วงเวลาสั้นๆ นี้แน่นอน
แต่นี่ก็เพราะพวกเขาไม่ได้เข้าใกล้ในระยะประชิด ไม่เช่นนั้นแล้ว หากเข้าไปใกล้อีกนิด สัมผัสเข้ากับค่ายกลเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา ก็จะถูกเจอตัวได้
ดังนั้น สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนกับในแดนต้องห้ามเผ่าสิงสมุทรในตอนนั้นสักเท่าไร พวกเขาไม่สามารถเดินอาดๆ เข้าไปได้ นี่จะต้องรอโอกาส
“น่าจะใกล้แล้ว ไม่เป็นไร พวกเราไม่รีบ พวกเราซ่อนตัวอยู่ที่นี่ก่อน รอไปก็พอ” นายกองเลียริมฝีปาก สะกดความปรารถนาในใจ เอ่ยเสียงเบา
สวี่ชิงพยักหน้า หมอบอยู่ตรงนั้นนิ่งไม่ขยับ เหยียนเหยียนถือวัตถุอำพรางกายที่สวี่ชิงให้เอาไว้ ใบหน้าแดงก่ำ ขยับไปทางสวี่ชิง จนมือซ้ายแตะโดนร่างของสวี่ชิง นางก็ตัวสั่นสะท้านเขินอาย เหมือนถูกไฟฟ้าสถิต ดวงตาเหม่อลอยเหมือนฝัน
สวี่ชิงกำลังจะขยับหลบ แต่ในตอนนี้เองระลอกคลื่นพลังทางหนึ่งก็มาจากที่ไกลๆ พัดกวาดไปรอบๆ สวี่ชิงไม่กล้าขยับ รักษาท่าทาง
จวบจนหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ระลอกคลื่นพลังนั่นกวาดผ่าน หายไปอีกครั้ง
“นี่คือการลาดตระเวนรอบนอกของเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา วางใจเถอะ ขอแค่พวกเราไม่ได้กระโดดออกไปเอง การลาดตระเวนง่ายๆ นี่จะเมินพวกเราไป มันจะตรวจสอบแค่ระดับปราณก่อกำเนิดขึ้นไป
“อย่างไรเสีย ในความคิดของเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา ผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดลงไปเป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น” นายกองท่าทางเหมือนรู้เป็นอย่างดี เอ่ยเสียงต่ำ
สวี่ชิงไม่พูดอะไร หยิบเอาของอำพรางกายขึ้นมาอีกแล้วกระตุ้น อีกทั้งส่งสัญญาณบอกเหยียนเหยียน ทั้งสองคนไปอีกทางหนึ่ง
ประสบการณ์หลายปีทำให้เขารู้ว่า มีบางครั้งที่พึ่งพานายกองไม่ได้
เห็นเป็นเช่นนี้ นายกองเลิกคิ้ว ทำหน้าเศร้า
“อาชิงน้อย เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว ทำไมห่างกับข้าไกลขนาดนั้น”
“ศิษย์พี่ใหญ่ อาจารย์ได้ให้ของวิเศษอะไรใหม่กับท่านใช่หรือไม่” สวี่ชิงปรายตามองนายกองไกลๆ แวบหนึ่ง
“จะเป็นไปได้อย่างไร ตาแก่งกจะตาย ใช่แล้ว อาชิงน้อย ที่เจ้ายังมีผิวกั่วหรือไม่ ข้าหิวขึ้นมานิดๆ แล้ว” นายกองสีหน้าเป็นปกติ ไม่เผยร่องรอยอะไรเผยออกมา
สวี่ชิงไม่พูดอะไร โยนผิงกั่วออกไปสามสี่ลูก แต่กลับไม่เข้าไปใกล้อย่างจริงจัง อีกทั้งยังโปรยพิษรอบๆ อีกด้วย
นายกองกะพริบตาปริบๆ ถอนหายใจออกมา
เหยียนเหยียนที่อยู่ข้างๆ ไม่ค่อยเข้าใจพฤติกรรมของพวกสวี่ชิงสองคน งงเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับไม่ได้ถามออกไป
เวลาสามวันก็ผ่านไปเช่นนี้เอง
“นายกอง หากโถงครองกระบี่ไม่มา รอแบบนี้ก็ไม่ใช่วิธี ท่านมีแผนสำรองหรือไม่” สวี่ชิงหมอบอยู่อีกด้านหนึ่งถามขึ้น
“โถงครองกระบี่จะต้องมาอย่างแน่นอน!” นายกองพูดอย่างมั่นใจ
“มั่นใจขนาดนั้นเลยหรือ” สวี่ชิงแปลกใจ
“แน่นอนอยู่แล้ว นี่เป็นรายงานข่าวที่ข้าจ่ายเงินไปมหาศาลเชียวนะ!” ในดวงตานายกองฉายแววล้ำลึก ท่าทางได้ใจมั่นอกมั่นใจ
สวี่ชิงคิดๆ ไม่ได้พูดอะไรมาก
หลายวันผ่านไป
สวี่ชิงมองนายกองเงียบๆ นายกองทางนั้นสูดลมหายใจลึก พยักหน้าเหมือนเดิม

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา