บทที่ 370 คำปฏิญาณผู้ครองกระบี่
นอกเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ
ท้องฟ้ายังคงเป็นสีฟ้า โลกยังคงสว่างไสว
ลมหนาวพัดมาอยู่ตลอด เกล็ดหิมะยังคงโปรยปรายอยู่ในเมืองมรรคาสวรรค์พ้นพันธะอยู่เช่นเดิม ร่วงลงมาเป็นเกล็ดๆ บนตัวของผู้คนที่รอบๆ เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ
ผู้ทดสอบที่นี่มีเพียงสองพันต้นๆ
ในบรรดาพวกเขาส่วนมาล้วนส่งข้ามกลับมาก่อน บนใบหน้าแม้จะเป็นตอนนี้ก็ยังคงเหลือความหวาดกลัวเอาไว้ให้เห็น
เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างในอุโมงค์ภูตสำหรับพวกเขาแล้วน่าพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง
และความอันตรายในครั้งนี้ก็เหมือนกับที่ผู้ครองกระบี่กลางคนชุดขุนนางพูดเอาไว้เมื่อสามวันที่แล้วว่าอาจมีภัยถึงแก่ชีวิต
สวี่ชิงยืนอยู่ในกลุ่มคน เขาเป็นคนกลุ่มสุดท้ายที่ส่งข้ามกลับมา
ในเสี้ยวพริบตาที่ร่างปรากฏขึ้น เขามองไปรอบๆ ทันที สังเกตได้ว่าคนที่กลับมาพร้อมกับตนยังมีอีกจำนวนหนึ่ง
นายกองก็เป็นหนึ่งในนั้น เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ดีที่แขนขาอยู่ครบ
แต่ว่าตาหายไปข้างหนึ่ง หูทั้งสองข้างไม่มีแล้ว ท้องยังมีบาดแผลทางหนึ่ง เขาในตอนนี้อุดแผลไปด้วย ฉีกยิ้มไปด้วย
ยิ้มให้สวี่ชิง
ต่อให้เหลือตาเพียงข้างเดียวแต่ก็ยังฉายแววได้ใจ เหมือนว่าพอใจกับผลเก็บเกี่ยวครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง ถ้ำในหลุมลึกมีมากมายจริงๆ สวี่ชิงเห็นเทพเจ้าได้ บางทีคนอื่นอาจจะเห็นสิ่งประหลาดอัศจรรย์ที่ถ้ำอื่นได้เช่นกัน
นอกจากนายกอง สวี่ชิงยังเห็นหญิงชุดแดง
อีกฝ่ายส่งข้ามกลับมาพร้อมกับเขา เห็นได้ชัดว่ายืนหยัดจนถึงวินาทีสุดท้าย
หน้ากากที่สวมอยู่ตอนนี้กลายเป็นสีแดง ร่างก็เช่นเดียวกัน ในปากของผีร้ายบนเคียวที่แบกอยู่เคี้ยวไม่หยุด แต่กลับยากจะปกปิดอาการสาหัสปางตาย
ยังมีอีกคนหนึ่งที่สวี่ชิงไม่อยากจะเห็น
นั่นก็คือจางซืออวิ้น ผู้สืบมรรคาแห่งสำนักเซียนล้ำบารมี
เห็นได้ชัดว่าเขามีวิชารักษาชีวิต ดังนั้นจึงไม่ตาย
แต่เขาก็อ่อนแรงเป็นอย่างยิ่ง ไอพลังประหลาดในตัวถึงระดับหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้กำลังกินยาลูกกลอนพยายามกำจัดมันไม่หยุด
บนตัวเขายังมีรอยกรีดขนาดมหึมาลากจากคิ้วยาวไปจนถึงหน้าอก ลึกจนเห็นกระดูก เหมือนว่าหากลึกอีกเพียงเล็กน้อย ก็สามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนได้โดยสมบูรณ์
สวี่ชิงมองจางซืออวิ้น จางซืออวิ้นก็มองสวี่ชิงเช่นกัน สีหน้าเคร่งขรึม ในดวงตาแฝงความเย็นเยียบ
สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ เก็บสายตากลับไป
เขากำลังนึกถึงเทพเจ้าในอุโมงค์ภูต โถงครองกระบี่ไม่มีทางไม่รู้ เช่นนั้นหากวิเคราะห์จากเรื่องนี้ บางทีพิธีที่บ้านไม้ห้าเหลี่ยมก็เป็นการจัดการของโถงครองกระบี่
ก็เพื่อให้เทพเจ้าหลับใหลต่อไป
แน่นอน นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น และเป็นไปได้ว่าก่อนหน้านี้โถงครองกระบี่ ก็มีบ้านไม้อยู่แล้ว แต่จะอย่างไรก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการอนุมานขั้นต่อไป
นั่นก็คือ ไม่มีทางเอาตะเกียงแห่งชีวิตสีแดงในบ้านไม้ไปได้
หากเป็นการจัดการของโถงครองกระบี่ พวกเขาย่อมไม่มีทางให้คนอื่นเอาไป
แต่หากมีอยู่แล้วแต่เดิม กระทั่งโถงครองกระบี่ยังเอาไปไม่ได้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขาที่เป็นคนไปรับการทดสอบเหล่านี้แล้ว
‘เช่นนั้นเป้าหมายที่จางซืออวิ้นไปที่นั่นคืออะไร’
สวี่ชิงขาดข้อมูล เดาคำตอบไม่ได้ ตอนนี้เขานึกย้อนเนื้อร้องเพลงงิ้วของผู้หญิงในบ้านไม้นั่น จู่ๆ ก็รู้สึกอย่างหนึ่งขึ้น
เหมือนว่าตั้งแต่แรก ผู้ร้องงิ้วคนนั้นก็ได้บอกผู้มาเยือนทุกคนเกี่ยวกับเรื่องของอุโมงค์ภูตผ่านจากเนื้อร้องสองท่อนนี้
มีคนถูกฝังไว้ที่นี่ ตัดความคิดถึงแปรเปลี่ยนเป็นกลีบดอกไม้มหาศาล กลีบมากมายโปรยปรายเหมือนกระดาษเงินกระดาษทอง ท่ามกลางการปลิวละล่อง ก็เหมือนฝุ่นธุลีปลิวฟุ้ง
ทุกกลีบล้วนแฝงด้วยความคิดถึง เหมือนว่าในชาติภพที่แล้วและชาตินี้ล้วนรอคอยมาโดยตลอด รอคนที่ตัดความคิดถึงเป็นชิ้นๆ และประกอบมันขึ้นมาใหม่คนนั้นปรากฏตัวขึ้น
ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงในบ้านไม้หรือเป็นเทพเจ้าอุโมงค์ภูตที่กำลังรอคอย
สวี่ชิงเงียบนิ่ง
โลกใบนี้ในสายตาของเขาค่อยๆ ลึกลับขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน เขาก็เห็นว่ามีผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์อีกคนหนึ่งที่ส่งข้ามกลับมาพร้อมกับเขา เงาร่างของอีกฝ่ายยังไม่ทันปรากฏขึ้น ในเสี้ยวพริบตาที่กลับมา ขณะที่ร่างกายสั่นสะท้านก็ถูกแสงที่แผ่ออกมาจากในเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะสังหารทันที
การตายของคนคนนี้ทำให้สวี่ชิงฝังความคิดเรื่องอุโมงค์ภูตไว้ในใจ ขณะที่ดวงตาจ้องเพ่ง เสียงที่ไม่มีระลอกคลื่นอารมณ์ใดๆ ก็แผ่ออกมาจากในเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ
“สืบพบความจริง สังหารเผ่าเดียวกัน ประหาร”
สวี่ชิงใจสั่นสะท้าน ก่อนหน้านี้ก็เดาว่าในแผ่นหยกส่งข้ามมีความสามารถในการบันทึกการทำผิดกฎกติกาหรือไม่ ตอนนี้ดูแล้ว เป็นเช่นนั้นจริงๆ
นอกจากนี้เขาพบว่าเศษชิ้นส่วนในตัวหายไปแล้ว
ในเสี้ยวพริบตาที่ส่งข้ามกลับมา เศษชิ้นส่วนพวกนั้นเหมือนว่าจะถูกพลังมหาศาลหอบม้วนไป ผสานรวมไปบนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ
เห็นได้ชัดว่าโถงครองกระบี่มีวิธีบันทึกของตัวเอง
ตอนนี้ท่ามกลางลมหนาวเย็น ท่ามกลางการรอคอยของคนทั้งหลายที่นี่ ท้องฟ้าพลันฉายแสงวาบเงาร่างแต่ละร่างๆ มาเยือน เงาร่างเหล่านี้ล้วนสวมชุดขุนนาง ยืนอยู่กลางท้องฟ้า
ทีแรกก็มีหลายสิบคน แต่ไม่นานนักจากรุ้งยาวที่พุ่งมาอย่างรวดเร็ว เงาที่มาเยือนก็มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงหลายร้อยร่าง
พลังกดดันที่มาจากร่างของพวกเขาส่งเสียงดังเลื่อนลั่นทั่วสารทิศ ทำให้ฟ้าดินในเสี้ยวขณะนี้มืดมน และเงาร่างที่ลอยต่ำลงมาก็ยังคงมีมาเรื่อยๆ
ภาพนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญที่อยู่ข้างล่างใจสั่นสะท้าน คนที่มองอยู่รอบๆ และผู้คุ้มครองจากสำนักต่างๆ ต่างสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
จวบจนผ่านไปครู่หนึ่ง เงาร่างถึงหลายพันร่างก็ยืนอยู่กลางอากาศ
พลังบำเพ็ญจากทุกร่างล้วนแผ่ระลอกคลื่นไม่ธรรมดา ที่อ่อนแอที่สุดในนั้นเป็นระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์ ปราณก่อกำเนิดก็มี สมบัติวิญญาณก็มีเช่นกัน
อีกทั้งข้างหลังของทุกคนล้วนแบกกระบี่เล่มใหญ่ที่เหมือนกันเอาไว้
กระบี่นี้เป็นสีเขียวคราม สลักตราประทับเอาไว้
ลักษณะของตราประทับนี้เหมือนจะเป็นตัวอักษร ‘元’
และชุดขุนนางที่คล้ายกันยิ่งทำให้คนเหล่านี้ดูแล้วเป็นระเบียบนัก อีกทั้งกลิ่นอายก็เหมือนเชื่อมต่อกัน ก่อเป็นรัศมีอำนาจสะท้านฟ้าดิน เหมือนว่าสามารถสะกดห้วงวันเวลา ทำให้หมื่นเผ่าและศัตรูภายนอกทั้งหมดไม่อาจต้านทานได้!
รัศมีอำนาจท่วมท้น!
พวกเขาก็คือผู้ครองกระบี่ทั้งหมดของโถงครองกระบี่แห่งมณฑลรับเสด็จราชัน
ตอนนี้ต่างอยู่กลางอากาศตั้งแถวเป็นกระบวนทัพปีกคู่ เหมือนปีกยักษ์สองข้างกำลังสยายโบยบิน ในขณะเดียวกับที่พลังกดดันแข็งแกร่งรุนแรง ก็มีความจริงจังเคร่งขรึมพวยพุ่งขึ้นท้องฟ้า
ทั่วทั้งเมืองมรรคาสวรรค์พ้นพันธะเงียบกริบ ไม่ว่าจะเป็นรอบๆ เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะหรือจะเป็นกระโจมในเมือง ไม่มีใครส่งเสียงออกมาในช่วงเวลาอันจริงจังนี้
ทุกคนกลั้นลมหายใจ จ้องเพ่งไปบนท้องฟ้า
เพราะพวกเขารู้ ต่อจากนี้…จะเป็นพิธียิ่งใหญ่ของผู้ครองกระบี่!

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา