บทที่ 373 ร่างของเทพเจ้า
การหยั่งใจนี้เป็นเช่นที่นายกองพูดไว้จริงๆ เป็นการกล่าวสัตย์สาบานวิธีหนึ่งของผู้ครองกระบี่
เบื้องหน้ามหาจักรพรรดิ ตอบคำถามของเทวรูปมหาจักรพรรดิด้วยใจ ขั้นตอนนี้ด้านหนึ่งคือเพื่อตรวจสอบชนเผ่า อีกด้านหนึ่งคือเพื่อประเมินสภาพจิตใจ
มันไม่สำคัญ ก็เพราะต่อให้ไม่ผ่าน ก็ไม่ส่งผลกระทบกับการเป็นผู้ครองกระบี่
แต่มันสำคัญเพราะส่งผลกับการเลื่อนขั้นรวมถึงการคัดเลือกทั้งหมดในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องที่ข้องเกี่ยวกับหัวใจสำคัญของเผ่ามนุษย์ แสงที่เปล่งออกมาจากการที่มหาจักรพรรดิไต่ถาม ล้วนเป็นเงื่อนไขที่ซ่อนอยู่
และขั้นตอนนี้ใช่ว่าจะเสแสร้งไม่ได้ แต่อันดับแรกต้องมีความสามารถในการหลอกเทวรูปมหาจักรพรรดิเสียก่อน
แม้เทวรูปมหาจักรพรรดิจะไม่ใช่มหาจักรพรรดิตัวจริงที่ดับสูญไปแล้วคนนั้น แต่เทวรูปที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองหลวง คือเศษเสี้ยวที่แปรจากจิตวิญญาณของมหาจักรพรรดิ หลังจากเผ่ามนุษย์สักการะมาหลายปีเช่นเดียวกับเทวรูปมหาจักรพรรดิองค์อื่น จึงมีความสามารถที่น่าตกตะลึงมาช้านาน
เขาจึงสามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ในดินแดนเผ่ามนุษย์ได้ กลายเป็นผู้เฝ้าดูครองกระบี่ไป
เวลานี้ หลังจากพวกสวี่ชิงทั้งห้าเดินขึ้นหน้ามาร้อยจั้ง การหยั่งใจจึงเริ่มขึ้นจากการสำแดงแรงกดดันของเทวรูปมหาจักรพรรดิ
คนแรกที่ถูกทดสอบ ไม่ใช่สวี่ชิง แต่เป็นชิงชิว
ได้เห็นแสงเจ็ดสีสายหนึ่งสาดออกมาจากหว่างเทวรูป ปกคลุมตัวของชิงชิว
กระบวนการนี้ ดึงดูดสายตากลุ่มคนเบื้องล่าง ขณะเดียวกันผู้ครองกระบี่ทั้งหมดบนท้องฟ้าก็จับตามองเพื่อเป็นสักขีพยาน
ร่างของชิงชิวสั่นเทิ้ม ผีร้ายบนเคียวเวลานี้ตัวสั่นเทิ้ม หลับตาปี๋ไม่กล้าลืมตา และไม่กล้าเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามด้วย
มันสัมผัสถึงจิตเทพที่ยิ่งใหญ่ไพศาลสาดมาที่ร่างของตน หลังจากกวาดผ่านไป ก็ไปรวมกันอยู่ที่ชิงชิว
จิตเทพนี้ยิ่งใหญ่ไพศาลเกินไป คนนอกสัมผัสไม่ได้ แต่มันสัมผัสได้อย่างชัดเจน
ส่วนชิงชิวเวลานี้ เบื้องหน้าของนางก็มีท้องฟ้าดารากว้างใหญ่ไพศาลผืนหนึ่งปรากฏขึ้น นางที่อยู่กลางท้องฟ้าดารา สิ่งแรกที่เห็น คือทะเลแสงเจิดจ้าผืนหนึ่งด้านบน
ทะเลแสงนั่นดึงดูดความสนใจทั้งหมดของนาง ทำให้นางไม่ได้ก้มหน้ามองใต้ท้องฟ้าดาราในทันที
แต่เงยหน้าขึ้นมองแสง ในความรำไร นางเห็นแสงผืนนั้นเหมือนมีร่างเงาเทพเจ้าอยู่
นางรู้สึกว่าตนเองช่างเล็กจ้อยเบื้องหน้าร่างเงานี้เสียเหลือเกิน ทั้งหมดเบื้องหน้าทำให้ดวงตานางค่อนข้างเลื่อนลอย แต่ไม่นานความเชื่อมั่นอันแน่วแน่ก็ทำให้ดวงตาของนางเผยความสุกใสออกมา
ตอนนี้เอง เสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งก็ดังข้างหูนาง
“เด็กน้อย ไม่ต้องกังวลไป บอกข้า เจ้าคิดว่าอะไรคือเทพเจ้า?”
ชิงชิวตะลึง น้ำเสียงอ่อนโยน เป็นสิ่งที่นางไม่ได้คาดการณ์ไว้
เดิมนางคิดว่าน่าจะเป็นการไต่ถามที่อบอวลไปด้วยพลานุภาพสูงส่งดังก้องในใจจากความน่าเกรงขามของเทวรูปมหาจักรพรรดิ ไม่คิดเลยว่าจะทำให้รู้สึกใกล้ชิดถึงเพียงนี้
ชิงชิวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในสมองก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า ค่อยๆ ปรากฏภาพหนึ่งขึ้นมา
มองภาพเหล่านั้น ดวงตานางก็เผยแววสับสน ในความเลือนรางนี้เหมือนมีคำตอบหนึ่งลอยขึ้นมาในใจ และคิดจะพูดมันออกมา
ใช่ว่าหยุดไม่ได้ แต่เสียงที่อ่อนโยนนั่น ทำให้นางรู้สึกว่าต่อให้พูดออกไปก็คงไม่เป็นไร นางจึงเอ่ยเสียงแผ่ว
“ข้าไม่รู้ว่าอะไรคือเทพเจ้า แต่ก็ช่างมันเถิด ถ้ามีโอกาสข้าจะทำใหมันพินาศไปด้วยกันเลย!”
เมื่อพูดออกไป นางก็เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะที่เปี่ยมเมตตา
“กล้าหาญน่าชื่นชม”
ท้องฟ้าดาราเบื้องหน้านางสลายหายไปตามเสียงหัวเราะที่ดังก้อง ตอนที่สัมผัสได้อีกครั้งว่าตนเองกลับมาสู่ความเป็นจริง นางที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเทวรูปมหาจักรพรรดิ ก็เห็นว่าเทวรูปตรงหน้าเปล่งประกายแสงเจิดจ้าออกมา
ประกายแสงเจิดจ้าพุ่งสูงถึงห้าร้อยจั้งในพริบตา แต่ไม่ได้หยุด ยังสูงต่อไปถึงพันจั้ง สุดท้ายหยุดอยู่ที่หนึ่งพันหนึ่งร้อยกว่าจั้ง
ประกายแสงเจิดจ้าหนึ่งพันหนึ่งร้อยกว่าจั้ง สาดส่องบนฟากฟ้า คนทั้งหมดที่นี่มองเห็นอย่างชัดเจน
ผู้ครองกระบี่บนท้องฟ้า พากันชำเลืองมอง ต่อให้เป็นชายกลางคนที่ป่าวประกาศรายละเอียดทั้งหมดคนนั้น ดวงตายังเต็มไปด้วยความชื่นชม กระทั่งผู้อาวุโสครองกระบี่ทั้งเก้าคน ตอนนี้ยังจ้องเพ่งชิงชิว
ในฐานะที่ชิงชิวเป็นผู้ถูกทดสอบคนแรกก็สูงถึงหนึ่งพันจั้ง แม้จะไม่ได้ทำลายสถิติของมณฑลรับเสด็จราชัน แต่ความสูงหนึ่งพันจั้งก็ใช่ว่าจะเห็นได้บ่อย นี่บ่งบอกได้ว่าด่านทดสอบจิตใจ นางเถรตรงมาก!
“เด็กสาวคนนี้ไม่เลวเลย!”
“เป็นต้นอ่อนที่ดีมาก ใช้ทรัพยากรสำคัญของมณฑลรับเสด็จราชันชุบเลี้ยงได้ ระยะเปล่งแสงเช่นนี้ อนาคตของนางก็มีความเป็นไปได้มากว่าเบื้องบนจะให้ความสำคัญ”
สวี่ชิงมองหญิงชุดแดงอยู่หลายครั้ง ส่วนนายกองที่อยู่ข้างๆ ก็ตกตะลึงก่อน จากนั้นก็นึกถึงคำตอบที่ตนเองท่องจำมาและการเตรียมความพร้อมเหล่านั้น ก็สงบลงอีกครั้ง
ถัดมา ผู้ที่ถูกทดสอบจิตใจคนที่สองก็ปรากฏ แค่เห็นว่าแสงเจ็ดสีที่เปล่งออกมาจากหว่างคิ้วเทวรูปมหาจักรพรรดิ ก็ย้ายจากชิงชิวไปส่องที่ร่างหนิงเหยียนชายหนุ่มสำนักเล็ก
เห็นได้ชัดว่าลำดับการหยั่งจิตใจไม่มีกฎเกณฑ์อะไรเลย อยู่ที่ความพึงพอใจของเทวรูปมหาจักรพรรดิ
เพียงไม่นานท้องฟ้าดาราแบบเดียวกันก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหนิงเหยียน แม้เขาจะกังวลแต่ที่มากยิ่งกว่าคือความคาดหวัง เวลานี้เงยหน้าขึ้นมองตามสัญชาตญาณ ใบหน้าบ้าคลั่ง
“เจ้าเด็กน้อย จงบอกข้า เทพเจ้าคือสิ่งใด”
เสียงที่อ่อนโยน ดังก้องอยู่ข้างหูหนิงเหยียน
การครุ่นคิดไม่เหมือนชิงชิว หนิงเหยียนแทบไม่คิดอะไรเลย ดวงตาที่บ้าคลั่งและจิตใจที่เลื่อมใสศรัทธา เสียงดังฟังชัด
“เทพเจ้าคือศัตรูตัวฉกาจของเผ่ามนุษย์ หมื่นเผ่าเดียดฉันท์ ทำให้สรรพชีวิตทุกทรมาน เป็นต้นกำเนิดความเกลียดชังของสรรพชีวิตทั้งมวล…”
เขาพูดไม่เยอะ แต่สิ่งที่พูดมาส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นคำพูดที่สำนักเล็กบอกมา พูดไม่ได้ว่าไม่ดี แต่ก็พูดไม่ได้ว่าดีเพียงใด ธรรมดาและไม่ใช่ความคิดของตนเอง
ดังนั้นตอนที่เขากลับสู่ความเป็นจริงหลังจากเขาพูดจบ เขาก็เห็นว่าเทวรูปมหาจักรพรรดิ เปล่งแสงสูงหกสิบจั้ง
แสงนี้เทียบกับชิงชิวไม่ได้เลย
หนิงเหยียนตะลึง เขาไม่รู้ว่าคำตอบของตนเองมีปัญหาอันใด
เขารู้สึกว่าที่ตนไม่ได้พูดผิด แต่ประกายแสงก็ยังห่างชั้นเหลือเกิน นี่ทำให้ขณะที่เขาไม่เข้าใจก็อดมองชิงชิวไม่ได้ เขาอยากรู้ยิ่งว่าอีกฝ่ายตอบไปว่าอะไร

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา