บทที่ 378 อายุขัยสวรรค์ลดลงครึ่งหนึ่ง
จากระลอกคลื่นอารมณ์ของเทพวิญญาณโยวจิง ในคุกแห่งนี้ก็มีเสียงสนั่นหวั่นไหวดังขึ้น รอบๆ สั่นสะเทือนรุนแรง คุกสีเลือดนั่นก็ฉายประกายแสบตาออกมา
โยวจิงที่ถูกผนึกอยู่ในนั้น ตอนนี้ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด เสียงคำรามดังห้องไปทั่ว ความเกลียดชังในใจของนางต่อเผ่ามนุษย์เบื้องหน้าคนนี้พุ่งถึงขีดสูงสุดแล้ว
อารมณ์ด้านลบที่อัดอั้นในใจทั้งหมด ตอนนี้ประดุจเขื่อนแตก ไหลทะลักโหมบ่าออกมา
“ข้าจะฆ่าเจ้า!!”
นายกองเงยหน้า ถอนหายใจ เอ่ยเย้ยหยัน
“ท่านด่าคนไม่เป็นหรือ พูดแต่ประโยคนี้ ให้ข้าสอนให้หรือไม่ขอรับ”
เทพวิญญาณโยวจิงคลุ้มคลั่งแล้วโดยสมบูรณ์
เห็นเป็นเช่นนี้ นายกองกระแอมขึ้นครั้งหนึ่ง สีหน้าฉายแววได้ใจ เขาย่อมไม่กังวลว่าตัวเองจะถูกผู้ครองกระบี่ฆ่าตายเอาไปให้เป็นอาหารเทพวิญญาณโยวจิง หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ นี่ก็ไม่ใช่สายหลักของเผ่ามนุษย์แล้ว
จะอย่างไรสำหรับโถงครองกระบี่ กฎก็คือกฎ ต้องปฏิบัติตาม
สิ่งที่ทำให้เขายิ่งได้ใจคือ ไม่ใช่ผู้ครองกระบี่กลางคนที่อยู่ข้างๆ เท่านั้นที่ความตื่นตะลึงฉายอยู่เต็มใบหน้า แม้แต่ศิษย์น้องเล็กของตนตอนนี้สีหน้าก็ยังเปลี่ยนไปอย่างหาได้ยาก
นี่ทำให้นายกองเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง เขารู้สึกว่าครั้งนี้ตนชนะสองต่อ
“เรื่องนี้วันหน้าก็สามารถโอ้อวดต่อหน้าอาชิงน้อยได้สิบปีแล้ว นอกจากนั้น พวกผู้เฒ่าผู้ครองกระบี่พวกนั้น เห็นข้าเฉินเอ้อร์หนิวยอดเยี่ยมเพียงนี้ จะต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อข้าอย่างแน่นอน”
นึกถึงตรงนี้ นายกองก็เก็บเสื้อผ้าพวกนั้นขึ้นมาอย่างเนิบนาบ แต่ว่าเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่รักษาคำพูด ดังนั้น ขนเส้นนั้น…เขาไม่ได้เอาคืนมา ทิ้งไว้ที่ข้างหน้ากรง
หลังจากจัดระเบียบสิ่งของอื่นๆ นายกองก็เดินมาข้างกายสวี่ชิง ยักคิ้วให้สวี่ชิง
“ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าข้าคนนี้เป็นอย่างไร!”
นายกองหัวเราะร่า จิตใจเบิกบานขีดสุด แล้วหันไปมองทางชิงชิว
ชิงชิวกรอกตาใส่เขา ในใจยิ่งระมัดระวังสุดขีด
ผู้ครองกระบี่กลางคนที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้มองเฉินเอ้อร์หนิวสายตาค่อนข้างซับซ้อน เขายอมรับว่าเจ้าเด็กหนุ่มเฉินเอ้อร์หนิวคนนี้มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ แต่ตอนนี้เขารู้สึกรางๆ ว่า เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้อนาคตจะสร้างชื่อเสียงที่ส่งผลกระทบต่อโถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชันหรือไม่
ในเมื่อคนคนนี้ไร้คุณธรรม ทั้งยังต่ำช้านัก ตอนนี้เขานึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่อีกฝ่ายแสดงออกมาก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้คิดอยากจะตบสักผัวะ
ขณะเดียวกัน ในตำหนักใหญ่โถงครองกระบี่ ผู้อาวุโสผู้ครองกระบี่ทั้งหลายต่างมองม่านแสงที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ในม่านแสงก็คือพวกสวี่ชิงทั้งสามคนนั่นเอง
ผู้อาวุโสเหล่านี้มองเห็นทุกคำพูดและการกระทำของนายกองตลอดทั้งเหตุการณ์
แต่ละคนต่างพูดกันไม่ออก สุดท้ายมีเพียงผู้อาวุโสคนหนึ่งส่ายหน้าพูดขึ้น
“ต่ำช้าเหลือเกิน”
ในขณะเดียวกัน ในที่สุดการค้นวิญญาณของโถงครองกระบี่ก็หาจุดอ่อนเจอจากระลอกคลื่นอารมณ์รุนแรงของโยวจิง เรื่องหลังจากนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกสวี่ชิงทั้งสามคนจะมีส่วนด้วยได้แล้ว ดังนั้นไม่นานนักผู้ครองกระบี่กลางคนคนนั้นก็ส่งพวกเขาลงไป
ส่วนคุณงามความชอบ ครั้งนี้นายกองได้รับความชอบอันดับหนึ่ง จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังจากมองเงาร่างทั้งสามหายลับไปจากโถงครองกระบี่ ผู้ครองกระบี่คนนี้ก็ถอนหายใจยาว
“ลูกศิษย์ของพันธมิตรแปดสำนักครั้งนี้…”
เขาส่ายหน้า ไม่รู้ว่าควรจะวิพากษ์วิจารย์อย่างไรดี
และจากที่เรื่องนี้จบสิ้นลง ชิงชิวก็ตามลัทธินอกวิถีกลับไปในทันที เหมือนว่าไม่อยากจะอยู่ให้นานแม้เพียงเค่อเดียว
ส่วนพันธมิตรแปดสำนักก็ตัดสินใจกลับไปหลังจากวันที่สองที่เรื่องนี้จบลง จะกลับไปยังพันธมิตรแปดสำนัก ทว่าก่อนที่เรือเหาะลำมหึมาของพันธมิตรแปดสำนักจะเหินขึ้นก็เกิดเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ แทรกเข้ามา
นายกองหายตัวไป
จะอย่างไรเขาก็ไม่มีความกล้าที่จะกลับสำนัก เห็นได้ชัดว่ากังวลถึงเพลิงโทสะของจอมเซียนจื่อเสวียนและบทลงโทษของอาจารย์ตนเมื่อกลับไปถึง ในเมื่อเขาไม่รู้ว่าในจดหมายที่ตอบกลับมาจอมเซียนจื่อเสวียนเขียนตอบว่าอะไร
แต่ว่ามีบรรพจารย์อยู่ แผนการหนีของนายกองก็กำหนดเอาไว้แล้วว่าต้องล้มเหลว
ดังนั้นในตอนที่เรือเหาะเหินไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม หลังจากที่เสี่ยเลี่ยนจื่อออกไปแล้วกลับมาอีกครั้ง ในมือของเขาคว้านายกองที่แผนการหนีล้มเหลวเอาไว้
สีหน้าของนายกองแฝงรอยห่อเหี่ยวหมดอาลัยตายอยาก ขณะที่ถอนหายใจไม่หยุดก็ถูกเสี่ยเลี่ยนจื่อโยนไปบนเรือเหาะ จากคำสั่งที่บัญชาลงมา เรือเหาะลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าดังสะเทือนเลื่อนลั่น พุ่งไปทางพันธมิตรแปดสำนักอย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตา เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะที่ตั้งตระหง่านบนพื้น ในสายตาสวี่ชิงก็เปลี่ยนมาเล็กลงเรื่อยๆ จวบจนหายไปจากครรลองสายตา
มองไปทางเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ ในใจสวี่ชิงเกิดระลอกคลื่นอารมณ์เล็กน้อย
ตอนที่มาเขาเป็นเพียงแค่ลูกศิษย์พันธมิตรแปดสำนัก อย่างมากก็นับได้ว่าเป็นแค่ว่าที่ผู้สืบทอดมรรคาเท่านั้น แต่ตอนนี้…เขาเป็นผู้ครองกระบี่ที่ได้ประกายแสงหมื่นจั้งอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในมณฑลรับเสด็จราชัน ในขั้นตอนการคัดเลือกยิ่งเดินมาถึงจุดสูงสุด จากผู้เข้าร่วมแปรเปลี่ยนเป็นพยาน
ฐานะ ชื่อเสียง แตกต่างไปจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง
จุดนี้สวี่ชิงสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนจากสายตาที่ลอบมองเขาของลูกศิษย์พันธมิตรที่อยู่รอบๆ
ก่อนหน้านี้ สายตาของลูกศิษย์พันธมิตรที่มองเขาสิ่งที่มีมากคืออิจฉา แต่ตอนนี้คือความยำเกรง
การเปลี่ยนแปลงของสายตา ในขณะเดียวกับที่มาจากพลังแท้จริง ที่มากกว่านั้นคือมาจากการเปลี่ยนแปลงของฐานะ
เขาในตอนนี้เป็นผู้บำเพ็ญกรมครองกระบี่แห่งห้ากรมทมิฬ สายหลักเผ่ามนุษย์ มีกระบี่อาญาสิทธิ์ หลักฐานยืนยันชัดเจน ภายใต้ขอบเขตพลังแท้จริงของตัวเอง ใต้จักรพรรดิลงมาล้วนฟาดฟันสังหารได้ทั้งสิ้น
เช่นกัน ภายใต้การคุ้มครองจากฐานะนี้ หากมีใครจะฆ่าเขา ก็ต้องเผชิญหน้ากับการประกาศจับจากกรมครองกระบี่
ในขณะเดียวกับได้รับสิ่งเหล่านี้ ผู้ครองกระบี่ก็ต้องทำภาระหน้าที่ของตัวเอง จับกระบี่เพื่อเผ่ามนุษย์ ปกป้องสรรพชีวิตทั้งปวง
สวี่ชิงเงียบนิ่ง หน้าที่ของผู้ครองกระบี่ยิ่งใหญ่นัก เขาไม่รู้ว่าตัวเองในอนาคตจะต้องทำเช่นไร
“มุ่งมั่นมิผันแปร” สวี่ชิงพึมพำ จากนั้นก็เก็บความคิดลงไป หันมามองนายกองที่เดินกะเผลกๆ มาปรากฏข้างกายตน
“ศิษย์น้องเล็ก ข้าเสียใจมากๆ อยู่เรื่องหนึ่ง”
“หนีช้าไปน่ะหรือ” สวี่ชิงมองขานายกอง
“ไม่ใช่” นายกองสีหน้าเศร้าโศก
“ข้าเสียใจว่าทำไมถึงเข้าร่วมผู้ครองกระบี่ช้าถึงเพียงนี้ ไม่เช่นนั้นคงบรรลุกระบี่จักรพรรดิเร็วกว่านี้ บ่มเพาะจนถึงตอนนี้ ระดับหวนสู่อนัตตาเห็นข้าก็ยังต้องเกรงใจ”
“ก่อนอื่นท่านต้องเป็นระดับปราณก่อนกำเนิดขั้นสูงสุด นอกจากนั้นท่านต้องมีชีวิตอยู่ได้ถึงสองพันปี” สวี่ชิงเอ่ยเตือน
“ข้า…” นายกองเลิกคิ้ว แต่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ถอนหายใจออกมา
“ระดับหวนสู่อนัตตาขั้นสูงสุดของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์นี่เป็นขีดสูงสุดของทั้งชีวิตผู้บำเพ็ญหลายคนแล้ว คนที่ติดอยู่ตรงนี้จนอายุขัยหมดสิ้นไม่อาจทะลวงขั้นได้มีมากมาย…



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา