เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 388

บทที่ 388 ท่าเรือแห่งยมโลก

วันที่สามมือของนายกองก็งอกออกมาสมบูรณ์เหมือนเดิม มองความแตกต่างไม่ออกแม้แต่น้อย

หลังจากสวี่ชิงสนใจ ก็รู้สึกเข้าใจความรวดเร็วแตกหน่อเนื้อของนายกองมากยิ่งขึ้น

‘ชิ้นส่วนแขนขาที่ขาดไปต้องใช้เวลาสามวัน ช่วงเอวลงมาต้องใช้เวลาครึ่งเดือน ถ้าด้านล่างศีรษะหายไปทั้งหมดต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน’

สวี่ชิงกระจ่างแจ้งในใจ คิดว่าหลังจากนี้มุ่งเฉพาะที่จุดนี้ เมื่อออกไปทำการใหญ่กับนายกอง ก็วางกลยุทธ์ได้ดียิ่งขึ้น

ส่วนนายกองเมื่อผ่านเรื่องนี้ไป ก็เหมือนจะสนใจต่างเผ่าอย่างมาก หลายวันหลังจากนั้น เขาจึงเป็นเช่นเดียวกับสวี่ชิง ชอบมองลงไปด้านล่างเรือเหาะ

เมื่ออู๋เจี้ยนอูเห็นภาพนี้ หลังจากครุ่นคิดอย่างตั้งใจ ไม่รู้เพราะอยากจะยกระดับบทกวีของตนเองขึ้นมาหรือไม่ จึงมาร่วมด้วย

เวลาจึงค่อยๆ ไหลผ่านไป หลังจากผ่านค่ายกลส่งข้ามมาสองแห่ง พวกเขาก็ออกจากมณฑลบังคับจำนน

ตลอดทางสวี่ชิงได้เห็นสภาพแวดล้อมอีกหลากหลายรูปแบบ นายกองก็ได้ความรู้เรื่องต่างเผ่ายิ่งขึ้นเช่นกัน ส่วนอู๋เจี้ยนอูก็ได้รับประโยชน์มามากมายด้วย

ในที่สุดกลอนของเขาก็กลับมาอยู่ในระดับสูงสุดอีกครั้ง กระทั่งดีขึ้นกว่าเก่า

“ดวงตาเห็นแจ้งการผันแปรสรรพชีวิต ฝึกจิตกระบี่เพียงลำพังในใต้หล้า!”

ท่ามกลางสายลมโหมกระหน่ำ อู๋เจี้ยนอูยืนปะทะสายลม หัวเราะลั่น เสียงดังก้องออกไปทั้งฟ้าดินลอย

“ไอ้โง่” นายกองเบ้ปาก

สวี่ชิงไม่ได้สนใจความวิปลาสของอู๋เจี้ยนอู ตอนนี้เขาก้มหน้ามองเบื้องล่าง ลมพายุกำลังพัดกวาดแผ่นดินใหญ่ของที่นี่ ต้นไม้นับไม่ถ้วนลำต้นเอนเอียงท่ามกลางสายลม ราวกับจะหักโค่นได้ตลอดเวลา

นี่คือสภาพอากาศที่เป็นเอกลักษณ์ของมณฑลพระพายเมฆินทร์

ต่างกับมณฑลรับเสด็จราชันกับมณฑลบังคับจำนน มณฑลพระพายเมฆินทร์อยู่ท่ามกลางกระแสลมคลั่งแทบจะตลอดทั้งปี ขั้วอำนาจต่างๆ ในนี้จึงถนัดด้านความเร็วอย่างยิ่งด้วยสาเหตุนี้ และมีการฝึกกายาเฉพาะตัวอีกด้วย

นอกจากสายลม ช่วงกลางวันและกลางคืนของที่นี่ก็แตกต่างกันเช่นกัน

สายลมคลั่งในช่วงกลางวัน สายลมหนาวเยือกเย็นมืดมนในตอนกลางคืน ซ้ำยังมีสิ่งประหลาดมากมายปรากฏขึ้นด้วย

แม้จะมีต่างเผ่าอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอสูรกลายพันธุ์

อย่างเช่นในครรลองสายตาของสวี่ชิงตอนนี้ มียักษ์ที่ร่างกายสูงนับร้อยจั้งอยู่นับร้อยคนอยู่ท่ามกลางลมพายุคลั่งที่โหมกระหน่ำบนแผ่นดินใหญ่

ยักษ์เหล่านี้เปลือยเปล่า กลิ่นเหม็นแผ่นกำจายออกมา สายลมก็มิอาจพัดให้จางหายได้

พวกมันมีผิวหนังสีเทา ดวงตาแดงก่ำ ฟันดำเหลือง และเหมือนจะไม่ค่อยมีสติปัญญา

ตอนนี้บ้างก็กำลังวิ่ง บ้างก็นั่ง บ้างก็กำลังดึงทึ้งกันอยู่บนแผ่นดินใหญ่ ราวกับเป็นสัตว์ป่า

และยังเห็นได้ว่ายักษ์จำนวนไม่น้อยกำลังหิ้วกรงที่ทำจากเปลือกไม้เอาไว้

และในกรงเหล่านั้น ก็มีสิ่งมีชีวิตเผ่าต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนถูกขังเอาไว้ ส่วนใหญ่หายใจรวยริน

พวกนี้คืออาหารของยักษ์ กำลังถูกพวกยักษ์เทลงไปบนแท่นหินเรียบๆ จากนั้นใช้สากขนาดยักษ์ทุบจนเละแล้วดื่ม

“นี่คืออสูรเมฆาแห่งมณฑลพระพายเมฆินทร์ ไม่ค่อยจะมีสติปัญญาเหมือนสัตว์ป่า ฆ่าล้างบางพวกมันไปไม่หมดเสียที มักจะกำเนิดขึ้นเองในฟ้าดิน กินสรรพชีวิตเป็นอาหาร” เสียงของจอมเซียนจื่อเสวียนดังเข้ามาในหู

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ร่างของนางปรากฏอยู่ข้างกายสวี่ชิง

กลิ่นหอมที่คุ้นเคยลอดเข้ามาในจมูก สวี่ชิงไม่ได้หลบเลี่ยง เขาชินแล้ว

ตลอดทางนี้จอมเซียนจื่อเสวียนส่วนใหญ่ปิดด่านอยู่แต่ในห้องเรือไม่ค่อยออกมา เวลานี้มายืนอยู่ข้างสวี่ชิง นางไม่ได้มีท่าทีบีบคั้นสวี่ชิงเหมือนตอนอยู่กันตามลำพังอีกแล้ว แต่ดูเป็นทางการขึ้นพอสมควร

สวี่ชิงรีบคารวะ นายกองกับอู๋เจี้ยนกังเองก็ก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว

ทว่าความคิดในใจของทั้งสองคนไม่เหมือนเดิมแล้ว

ในใจอู๋เจี้ยนเปี่ยมความเคารพศรัทธา

แต่นางกองกลับแอบล้อเลียนจอมเซียนจื่อเสวียน ประเดี๋ยวก็ฉอเลาะ ประเดี๋ยวก็เย้าแหย่ ประเดี๋ยวก็เคร่งขรึม ผู้ใดจะไปทนไหวกัน

อาชิงน้อย เจ้าต้องสู้ๆ นะ!

คิดถึงจุดนี้ เขาก็ส่งสายตาให้กำลังใจสวี่ชิง

“เลือดเนื้อบนตัวอสูรเมฆาเหล่านี้ มีมีประโยชน์อยู่อย่างหนึ่ง คือการถูกกำหนดให้เป็นตั๋วเรือ พวกเจ้าสองคนลงไปสังหารมาสักตัวหนึ่งเถิด” จื่อเสวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

สวี่ชิงได้ยินก็พยักหน้า ร่างไหววูบทะยานจากเรือเหาะลงไปที่พื้นดิน

นายกองกะพริบตาปริบๆ ทะยานลงไปทันทีเช่นกัน หลังจากเข้าใกล้สวี่ชิงก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้เขา ส่งสื่อเสียงพูดว่า

“อาชิงน้อย ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะต้องพิจารณาคำแนะนำของข้าในตอนนั้นดีๆ เสียแล้ว!”

สวี่ชิงสงสัย

“ตอบรับจอมเซียนจื่อเสวียนเสียสิ” พูดจบ นายกองพุ่งไปด้านหน้า เร่งความเร็วจากไป

สวี่ชิงเมองแผ่นหลังนายกองผาดหนึ่ง ไม่พูดอะไร

ไม่นานทั้งสองคนก็ทยอยร่อนลงมาบนพื้นดิน

พลังต่อสู้ของยักษ์เหล่านั้นไม่ได้แข็งแกร่งนัก พึ่งพาแต่พลังกายเนื้ออย่างเดียว ในนี้ส่วนใหญ่ล้วนพลังอยู่ที่ไฟชีวิตสองหรือสามดวง มีแค่สี่ห้าตน ที่แผ่พลังเลือดลมคล้ายกับแก่นลมปราณออกมา

สำหรับสวี่ชิงกับนายกอง การล่าสังหารระดับนี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็น ดังนั้นไม่นานภายใต้ความเร็วที่น่าตกตะลึงของสวี่ชิง เขาก็ไปปรากฏเบื้องหน้ายักษ์ที่มีพลังระดับแก่นลมปราณตัวหนึ่ง

ยักษ์ตัวนี้กำลังก้มหน้าออกแรงทุบเนื้อบนแท่น หลังจากมันสัมผัสได้ถึงอันตรายก็เงยหน้าขึ้น อ้าปากคำรามใส่สวี่ชิง พริบตาที่กลิ่นเหม็นโถมมา มันก็ยกมือขวาขึ้น ตะปบไปทางสวี่ชิง

เทียบกับยักษ์ตนนี้ สวี่ชิงก็ราวกับเป็นแค่มดปลวก

แต่ในสายตาสวี่ชิง ยักษ์ที่ร่างกายใหญ่โตนี่ต่างหาก ที่เป็นมดปลวก

เขาไม่หลบเลย ใช้หัวกระแทกไปกลางฝ่ามือที่ยักษ์ตะปบลงมา และยักษ์ก็กรีดร้องทันที แขนขวาระเบิดแหลกเละ

ร่างของสวี่ชิงพุ่งทะลุออกมาจากด้านใน ระเบิดความเร็วพุ่งไปที่หน้าผากของยักษ์ หลังจากเข้าประชิดก็ยกมือขวาขึ้น แตะลงไปทันที

วิชาเวทที่น่ากลัวแผ่ซ่านออกมาจากด้านใน แผ่จากหน้าผากลามออกไปทั่วร่างยักษ์ และทรงพลังไร้เทียมทาน บดขยี้ทำลายพลังชีวิต

พริบตาต่อมา ยักษ์ตัวนี้ก็ร่างสั่นสะท้าน ล้มลงเสียงดังตึง ขณะที่เสียงอื้ออึงสะท้อนก้อง นายกองทางนั้นก็สังหารเสร็จสิ้น ยักษ์แก่นลมปราณตัวหนึ่งลมลงในเวลานี้ด้วยเช่นกัน

แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้เก็บศพยักษ์ทันที ทว่ากลับมองห่างออกไปไกลๆ ในเวลาเดียวกัน ดวงตาก็เผยประกายคมทันที

ทิศที่พวกเขามองไป ท่ามกลางสายลมคลั่งมีกระบี่ยาวสองเล่มกำลังหวีดหวิวเข้ามา

พลานุภาพน่าตกตะลึง แหวกสายลมคลั่งมาใกล้ แต่เป้าหมายไม่ใช่สวี่ชิงกับนายกอง ทว่าเป็นยักษ์ตัวอื่นๆ

เพียงพริบตา ก็มียักษ์สามตัวส่งเสียงร้องแหลม ร่างกายสั่นเทิ้มจากการที่กระบี่บินกวาดมา ถูกกระบี่บินแทงทะลุหน้าอก ทำลายพลังชีวิตด้านในจนย่อยยับ

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา