บทที่ 390 ตาของเผ่าแสงสายัณห์
นอกเรือผีมืดสนิทไปหมด ไม่มีแสงใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงความเย็นเยือกและหนาวเหน็บอันไม่สิ้นสุดเท่านั้นที่ตลบอวลไปทั่วทุกทิศในความมืดมิดแห่งนี้
สิ่งที่ได้เห็นและสัมผัสผ่านเจ้าเงา สวี่ชิงมองมิติราวยมโลกข้างนอกเรือผี เขาพลันนึกถึงในตอนที่เป็นระดับสร้างฐาน คำพูดเรื่องความน่ากลัวที่ผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วนหวาดเกรง
ผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐาน ในเสี้ยวขณะที่สร้างฐานเหมือนว่าตัวเองจุดตะเกียงแห่งชีวิตติด จะดึงดูดตัวตนอีกโลกหนึ่งมา
เหมือนเจ้าใบ้น้อยในตอนนั้น ก็ได้ล้มเหลวที่ด่านนี้ ถูกชิงร่างไปครึ่งหนึ่ง
หากไม่ได้สวี่ชิง เกรงว่าคงแตกดับไปแล้วโดยสมบูรณ์
ตอนนี้ความมืดมิดนอกเรือผีทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่ามันคือโลกใบนั้น
ระหว่างที่สวี่ชิงครุ่นคิด เวลาที่นี่หมุนผ่านไปไม่ได้ชัดเจนนัก คล้ายว่าเป็นเพียงเสี้ยวพริบตา แต่ก็คล้ายว่าเนิ่นนานนัก จวบจนกระทั่งแสงเจิดจ้ากลุ่มหนึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในความมืด
แสงนี้มาพร้อมกับความร้อน แผ่ขยายไปหมื่นจั้ง ในขณะที่ฉีกความมืดมิด ก็ฉายทะเลทรายที่แสงเจิดจ้าผืนหนึ่งออกมาจากในยมโลกรอยแยกนั้น
เสี้ยวขณะต่อมา เรือผีก็พุ่งไปในทะเลทรายที่ก่อตัวจากยมโลกที่ฉีกสะบั้นผืนนี้ ในเสี้ยวพริบตาที่พุ่งเข้าไป เรือผี…ก็หายไปแล้ว
ทุกคนบนเรือต่างรู้สึกเหมือนร่วงหล่นลงมาทันที
‘ลืมตาได้แล้ว’
จากเสียงของจอมเซียนจื่อเสวียนที่ดังมา ลูกศิษย์พันธมิตรแปดสำนักต่างลืมตาขึ้น สิ่งที่สะท้อนในสายตาของพวกเขาคือทะเลทรายที่ลุกไหม้ผืนหนึ่ง
ทะเลทรายกำลังเผาไหม้ ทะเลเพลิงสุดลูกหูลูกตาลุกท่วมไปทั่วทุกทิศ ท้องฟ้าบิดเบี้ยวไปด้วยเหตุนี้ มีเพียงดวงอาทิตย์ดวงนั้นที่แผ่อุณหภูมิสูงน่าตกใจออกมาจากกลางท้องฟ้า
ดวงอาทิตย์ของที่นี่ชัดเจนกว่า ใหญ่กว่าที่สวี่ชิงเห็นในมณฑลรับเสด็จราชัน
เหมือนว่าดวงอาทิตย์อยู่กลางท้องฟ้าของทะเลทรายแห่งนี้
หรือพูดได้ว่า ทะเลทรายแห่งนี้…เป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด
เรือโลกวิญญาณไม่อาจดำรงอยู่ที่นี่ได้ จึงหายไป ดังนั้นคนทั้งหลายถึงร่วงหล่นลงมา
และจากการสะบัดมืออย่างรวดเร็วของจอมเซียนจื่อเสวียน เรือเหาะที่เหมือนมังกรฟ้าก็ปรากฏขึ้น ทำให้คนทั้งหลายร่วงลงบนนั้น
เสี้ยวขณะต่อมา เรือเหาะแล่นไปพร้อมดวงอาทิตย์แผดเผา ข้ามผ่านทะเลเพลิงในฟ้าดิน เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ส่วนผู้โดยสารคนอื่นๆ ในเรือผีก็ต่างมีวิธีของแต่ละคน ผู้ครองกระบี่สองคนนั้นหยิบเอาอาวุธเวทรูปร่างเหมือนหมวกใบหนึ่งออกมา มันไม่ได้ลอยขึ้นฟ้า แต่มุดลงไปในดิน หายลับไป
“นี่เป็นการเดินทางช่วงสุดท้าย หลังจากเหาะเหินในทะเลทรายแห่งนี้สามเดือน พวกเราก็จะถึงเขตแดนเมืองหลวงเขตปกครอง”
บนเรือเหาะ จอมเซียนจื่อเสวียนเอ่ยเสียงแผ่วเบา
เสียงของจอมเซียนจื่อเสวียนประดุจน้ำพุกระจ่างท่ามกลางดวงอาทิตย์แผดเผา ทำให้จิตใจของทุกคนผ่อนคลายลงไปไม่น้อย
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ดวงตาฉายประกายประหลาด การประสบพบเจอตลอดทางนี้แม้จะสั้น แต่ก็ทำให้เขาได้เห็นสิ่งประหลาดอัศจรรย์ของโลกใบนี้มากขึ้น
การเพิ่มพูนประสบการณ์แบบนี้ เป็นสิ่งที่มณฑลรับเสด็จราชันไม่มีทางมอบให้ได้
ความกว้างใหญ่ไพศาลในโลกเหมือนจะเปิดมุมหนึ่งให้กับเขา
และในทะเลทรายแห่งนี้มีต่างเผ่าอาศัยอยู่
หลังจากนั้นครึ่งเดือน จากการเคลื่อนหน้าไปของเรือเหาะ จากพื้นที่ที่ไฟบนพื้นมอดดับ หลังจากที่ไฟตรงนั้นหายไปก็มีควันออกมามากมาย
ควันเหล่านี้ลอยอ้อยอิ่งขึ้นฟ้า แล้วก่อเค้าร่างเป็นเงาร่างมนุษย์แต่ละร่างๆ
แม้จะยังรางเลือน แต่ก็สามารถเห็นเค้าร่างคร่าวๆ ได้ ในนั้นมีผู้ชายมีผู้หญิง มีเด็กมีคนแก่
คล้ายว่าเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งกำลังใช้ชีวิต อยู่อาศัยกันตามปกติ
โดยเฉพาะในบริเวณที่ควันหนาแน่น กระทั่งว่าก่อเค้าร่างเป็นเมืองเมืองหนึ่ง
ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหลือเชื่อ คนอื่นๆ ส่วนมากก็ล้วนรู้สึกเช่นนั้น มีเพียงนายกองที่ท่าทางเหมือนว่าไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ
ในตอนที่พวกเขาจ้องมองเผ่าพันธุ์ที่ก่อตัวขึ้นจากเงาเหล่านั้น เงาร่างที่แปรเปลี่ยนมาจากเงาเหล่านี้ก็มีจำนวนไม่น้อยที่เงยหน้ามองเรือเหาะที่อยู่บนฟ้า
ภาพนี้ทำให้จอมเซียนจื่อเสวียนสีหน้าเคร่งขรึม นางเหาะออกไปนอกเรือเหาะเป็นครั้งแรกหลังจากที่ได้พบต่างเผ่า อยู่กลางอากาศโค้งคารวะไปทางเมืองควันที่อยู่บนพื้น
“ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์มณฑลรับเสด็จราชัน คุ้มกันผู้ครองกระบี่สำนักข้ามุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงเขตปกครอง ขอผ่านที่นี่ สหายเผ่าควันขจรโปรดอภัย”
หลังจากจอมเซียนจื่อเสวียนประสานหมัดคารวะ สวี่ชิงก็ประสานหมัดเช่นกัน จากนั้นลูกศิษย์ทุกคนก็โค้งคารวะไปทางพื้นดินอย่างเคร่งขรึม
จากนั้นควันข้างล่างก็เดือดพล่าน มีเงาร่างหมอกควันลอยปรากฏขึ้นจำนวนมาก
พวกมันมองเรือเหาะ คล้ายว่ากำลังครุ่นคิด ไม่นานนักก็ประสานหมัดทำความเคารพ ต่างฝ่ายต่างอยู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน
จนตอนนี้จอมเซียนจื่อเสวียนจึงถอนหายใจโล่งอก
“นี่คือเผ่าควันขจร เป็นเผ่าพันธุ์ที่จัดการยากที่สุดในการเดินทางครั้งนี้แล้ว พวกมันไม่สนใจสำนักเผ่ามนุษย์ส่วนมาก แต่เคารพยำเกรงผู้ครองกระบี่
“เผ่านี้กำเนิดภายใต้อาทิตย์ร้อนระอุ เป็นผู้ลอบสังหารโดยธรรมชาติ เงาร่างของพวกมันสามารถผสานไปกลับกลิ่นอายทุกอย่าง แปลกประหลาดเหลือคณา วันหลังพวกเจ้าพบเจอจะต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มาก อย่าได้ไปหาเรื่อง พยายามผูกมิตรไว้”
จอมเซียนจื่อเสวียนกำชับ
สวี่ชิงพยักหน้า มองเมืองหมอกควันที่อยู่บนพื้นข้างหลัง จำเอกลักษณ์ของเผ่านี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ
เส้นทางหลังจากนั้นพวกสวี่ชิงก็ได้เห็นเผ่าพันธุ์แปลกประหลาดอัศจรรย์ต่างๆ ในทะเลทรายแห่งนี้ไม่น้อยเลย
จวบจนหลังจากนั้นหนึ่งเดือน สีของทะเลทรายก็เปลี่ยนแปลง ไม่เป็นสีส้มแดงอีกต่อไป แต่ค่อยๆ เกาะเป็นผลึก…
เช่นนี้แล้วก็เหมือนก่อเป็นแสงสะท้อน แสงสีต่างๆ สอดประสาน แม้จะพราวพร่างแต่ก็เจิดจ้าบาดตา หากพลังบำเพ็ญไม่เพียงพอจ้องมองนานไป ตาก็จะบอดได้
และเรือเหาะที่ขับเคลื่อนอยู่ในฟ้าดินก็เหมือนทะลุผ่านไปในทะเลแสง
ในเสี้ยวขณะนี้เอง สวี่ชิงก็เห็นผู้ครองกระบี่สองคนนั้นอีกครั้ง
เห็นได้ว่าทะเลทรายผืนนี้คือจุดหมายปลายทางของผู้ครองกระบี่ทั้งสองคนนี้ ตอนนี้พวกเขาอยู่บนพื้นดินที่เกาะผลึก อยู่ในทะเลแสงนั่น กำลังต่อสู้กับตัวตนที่มองไม่เห็นรอบๆ
แสงกระบี่ทอประกายวูบวาบ เสียงดังสะท้านน่าครั่นคร้าม ระลอกคลื่นวิชาเวทแผ่มาเป็นระลอกๆ
ข้างกายของพวกเขาเป็นเด็กผู้หญิงต่างเผ่าที่เกาะบนหลังของผู้ครองกระบี่หญิงคนนั้น ตอนนี้ผ้าคาดตาสีดำของเด็กหญิงปลดออกแล้ว นางกำลังเงยหน้า จ้องมองตรงไปยังดวงอาทิตย์ที่สามารถเผาไหม้ทุกอย่างดวงนี้
ดวงตาของนางมีประกายแสง ยิ่งเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด คล้ายว่าสามารถดูดซับแสงอาทิตย์ได้ ทำให้ดวงตาทั้งสองสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ
รยางค์สองอันที่หน้าผากกำลังไหวโบก ถักทออักขระตัวแล้วตัวเล่าออกมาหลอมผสานไปในดวงตาทั้งสอง
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา