บทที่ 421 สุราขุ่นหนึ่งแก้ว บรรยากาศชื่นมื่น
สวี่ชิงหนีไปอย่างเร็ว
แทบจะพริบตาที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่าตกตะลึงด้านนอกชายแดน เขาก็หันหลังหนีอย่างไม่ลังเล
นี่เป็นสิ่งที่นายกองกับเขาทำมาหลายครั้งหลังจากก่อเรื่องใหญ่ หล่อหลอมจนกลายเป็นสัญชาตญาณ
พวกของซานเหอจื่อก็ไม่ได้ช้ากว่าเท่าไร เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็มีสัญชาตญาณ
มีเพียงข่งเสียงหรงที่ช้าเล็กน้อย เพราะเขาพูดคำพูดเหล่านั้นออกมา
สวี่ชิงรู้สึกว่าข่งเสียงหรงก็คล้ายคลึงกับนายกองในบางครั้ง ทว่านายกองช้าเพียงเพราะละโมบ แต่ข่งเสียงหรงกลับเพื่อแสดงท่าที
สวี่ชิงแอบทอดถอนใจ เขารู้สึกว่าหากนายกองเข้าร่วมได้ก็คงดี ทว่าเรื่องนี้ทำอะไรไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนี้ไม่เชื่อใจนายกอง
กลุ่มคนทั้งหมดจึงพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วเช่นนี้ จนกระทั่งฟ้าสว่างก็หนีมาไกลมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อแน่ใจว่าศัตรูไม่ได้เสี่ยงตายตามมา พวกเขาก็เหน็ดเหนื่อย นอนแผ่หลาบนผืนหญ้า ต่างหอบหายใจ
คืนนี้ พวกเขาก่อเรื่องมากมายเกินไป
โดยเฉพาะการต่อสู้กับองครักษ์ชุดดำ ยิ่งทำให้พวกเขาใช้แรงจนแทบจะหมดสิ้น
ตอนนี้จากการผ่อนคลาย หลังจากนอนลงไปแล้ว แต่ละคนก็รู้สึกว่าทั่วร่างล้าไปหมด ไม่อยากจะลุกขึ้นมาเลย
สวี่ชิงก็เช่นกัน แม้อาการบาดเจ็บทั่วร่างจะฟื้นฟูแล้ว แต่ความเหนื่อยล้าทางจิตใจยังคงรุนแรงอยู่
ซานเหอจื่อแยกเขี้ยว เลือดลมทั่วร่างสลายหาย ความอ่อนล้าตีเกลียวปั่นป่วน
เยี่ยหลิงไม่แปลงเป็นปีศาจแล้ว ตอนนี้นอนอยู่ตรงนั้นราวกับเรี่ยวแรงใกล้หมดสิ้น
หวังเฉินก็โอดครวญพลางวาดผนึกตนเอง เหมือนกลัวว่าถ้าวาดช้าไปจะเกิดปัญหาใหญ่
ส่วนข่งเสียงหรงก็กำลังหอบหายใจ แต่ก็ยังสบายกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด เวลานี้มองพวกสวี่ชิง จู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา และดังมากขึ้นเรื่อยๆ
ซานเหอจื่อทั้งสามมองหน้ากัน และหัวเราะออกมาเช่นกัน ความสบายใจแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจพวกเขา แต่ยิ่งหัวเราะก็ยิ่งปากบิดเบี้ยว เพราะมันกระเทือนถึงบาดแผล
“ครั้งนี้สังหารอย่างมีความสุขเสียจริง!” ข่งเสียงหรงโบกมือ ล้วงสุราออกมาห้าขวด หลังจากโยนไปให้คนละขวดแล้ว ก็ชูขึ้นสูง
สวี่ชิงยกขวดสุราขึ้น ซานเหอจื่อ หวังเฉินรวมถึงเยี่ยหลิงก็ทำเช่นกัน สายตาที่มองสวี่ชิงก็ไม่ได้ห่างเหินเหมือนตอนแรกแล้ว กลับเผยความสนิทชิดเชื้อ
“หมดขวด!”
ทุกคนเงยหน้ากระดกลงไปอึกใหญ่ หลังจากวางก็หัวเราะขึ้นอีกครั้ง
แต่ดื่มไปๆ พวกเขาก็คิดถึงชายหนุ่มที่ฝันอยากจะเป็นผู้ครองกระบี่คนนั้น จึงต่างทอดถอนใจออกมา
เวลาก็ไหลผ่านไปเช่นนี้
ไม่ว่าจะสุราหรือว่าเสียงหัวเราะ หรือแม้แต่เสียงทอดถอนใจ ก็ล้วนทำให้ต่างฝ่ายใกล้ชิดกันมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และมิตรภาพระหว่างกันก็มักจะแน่นแฟ้นมากขึ้นหลังจากที่ได้มีประสบการณ์บางอย่างร่วมกัน
โดยเฉพาะเรื่องที่ทำผิดพลาด…
“กลับไปครั้งนี้พวกเราคงได้ซวยกันหมดแน่ ต้องถูกเจ้าวังจับขังแน่นอน กระทั่งพวกที่ใกล้ชิดกับเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์คงได้กุข่าวลือขึ้นแน่ โดยเฉพาะตระกูลเหยา
“เฮ้อ หลังจากกลับไปช่วงนี้ทุกคนก็สงบเสงี่ยมกันหน่อยแล้วกัน” ข่งเสียงหรงลุกขึ้น บิดกายไล่ความเมื่อยล้าครู่หนึ่ง เอ่ยกับทุกคน โดยเฉพาะสวี่ชิง
“สวี่ชิงเจ้าน่าจะหนักสุด ข้าเข้าใจเจ้าวังดี ในฐานะที่เจ้าเป็นพลทหารของกรมราชทัณฑ์ เจ้าวังจะต้องคาดโทษกับเจ้าเพิ่มแน่” ข่งเสียงหรงกะพริบตาปริบๆ
“ถูกต้อง สวี่ชิงเจ้าซวยแล้ว”
“เฮ้อ แต่ว่าสวี่ชิงเจ้าต้องคิดเช่นนี้ ในฐานะพลทหารถูกขังอยู่ในกรมราชทัณฑ์ ประสบการณ์นี้จะต้องยอดเยี่ยมมากแน่”
พวกของซานเหอจื่อพูดหยอกล้อสวี่ชิงคนนั้นคำคนนี้คำ ขณะเดียวกันก็กำลังมองปฏิกิริยาของสวี่ชิงกับเรื่องนี้
พวกเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย นี่คือวิธีแสดงการยอมรับของพวกเขา และเป็นวิถีการอยู่ร่วมกันระหว่างพี่น้อง
สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง เอ่ยราบเรียบ
“พวกพัสดีในเขตติงล้วนเป็นสหายของข้า ข้ากับพวกเขาสนิทกัน หากข้าต้องถูกคุมขังจริง…”
สวี่ชิงมองพวกข่งเสียงหรงผาดหนึ่ง เอ่ยอย่างตั้งใจว่า
“ข้าก็แค่กลับบ้าน และยินดีต้อนรับพวกเจ้าที่ถูกขังในบ้านข้า”
เมื่อสวี่ชิงพูด ข่งเสียงหรงก็ดื่มสุราเงียบๆ พวกของซานเหอจื่อก็ยิ้มขืนขึ้นมา ทอดถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม แต่สายตาที่มองสวี่ชิงกลับยิ่งสนิทชิดเชื้อ โดยเฉพาะซานเหอจื่อ กระแอมไอออกมา
“สวี่ชิง ถึงตอนนั้นเจ้าขังข้าไว้ในห้องขังที่มีพัสดีหญิงได้หรือไม่…”
ยังไม่ทันพูดจบ หวังเฉินก็กระทืบเท้าเขา
“ไม่ต้องสนใจเขา เจ้านี่ในสมองเลือดลมมีปัญหา พัสดีหญิงมีอะไรดีกัน สวี่ชิง…ถึงตอนนั้นก็ช่วยหน่อยนะ จัดให้ข้าไปอยู่ในห้องขังที่มีนักโทษหญิงเยอะๆ หน่อย”
ดวงตาหวังเฉินเปล่งประกาย เปี่ยมไปด้วยความเฝ้ารอ
ซานเหอจื่อที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่ยอม ตอบกลับไปไม่กี่คำ ไม่นานทั้งสองคนก็แย่งกัน
ภาพนี้แตกต่างกับตอนที่สวี่ชิงเคยมองพวกเขา เห็นได้ชัดว่าทุกคนมีหลายด้าน ระหว่างคนแปลกหน้ากับคนที่สนิทสนมคุ้นเคยนั้นต่างกัน
เยี่ยหลิงกวาดตามองพวกเขาผาดหนึ่ง ดวงตาเผยประกายเหยียดหยาม ล้วงเมล็ดแตงเลือดเนื้อออกมากิน
ข่งเสียงหรงยิ้มให้สวี่ชิงแล้วถามถึงพลังวิเศษ
“สวี่ชิงพิษของเจ้าร้ายกาจมาก แต่ข้าที่รู้สึกสนใจมือโปร่งแสงข้างนั้นของเจ้ามากกว่า แทงเข้าไปในวังสวรรค์ของอีกฝ่ายกระชากแก่นลมปราณออกมา วิชานี้…มหัศจรรรย์มาก!”
เมื่อข่งเสียงหรงพูดออกมา พวกซานเหอจื่อทั้งสามก็มองมาทางสวี่ชิง พวกเขาก็สงสัยเช่นกัน
สวี่ชิงได้ยินก็ไม่ปิดบัง ยกมือขึ้นโบก ฉับพลันมือขวาของเขาก็เปลี่ยนเป็นโปร่งใส แสดงออกมาต่อหน้าข่งเสียงหรง
“นี่คือวิชาที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดให้ข้า เกี่ยวข้องกับเผ่าพรางมายาระดับหนึ่ง”
ข่งเสียงหรงสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาเผยแววชื่นชม
“หลังจากที่สำแดงวิชานี้ออกมาในระดับสูงสุด เกรงว่าทั่วร่างของเจ้าคงจะกลายเป็นสภาพนี้แน่ๆ” พูดจบเขาก็ครุ่นคิด
“ถ้าเป็นเผ่าพรางมารยา ไว้กลับไปข้าจะให้ของขวัญเจ้าชิ้นหนึ่ง ตอนนั้นข้าสังหารเผ่าพรางมารยามา แล้วเก็บของเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้”
พูดจบ เขาเห็นว่าสวี่ชิงเหมือนจะพูดอะไร จึงหัวเราะขึ้นโบกไม้โบกมือ
“ระหว่างพี่น้อง ไม่ต้องปฏิเสธ”
เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็มองข่งเสียงหรง พยักหน้า จากนั้นซานเหอจื่อกับหวังเฉินก็เข้ามาร่วมด้วย พูดคุยกันเรื่องพลังวิเศษ พวกเขาก็ไม่มีปิดบังซ่อนเร้น สำแดงวิชาของตนเองออกมา
นี่มอบแรงกระตุ้นให้แก่สวี่ชิงมาก ทำให้เขาเข้าใจวิชาเวทของสามสำนักใหญ่มากขึ้น โดยเฉพาะวิชาจำแลงปีศาจของเยี่ยหลิง สวี่ชิงรู้สึกสนใจอย่างลึกซึ้ง
“วิชาจำแลงปีศาจเป็นวิชาเฉพาะของสำนัก ที่มาของวิชานี้ว่ากันว่ายาวนานมาก แต่เนื่องจากกฎของสำนักข้าจึงพูดมากไม่ได้ เจ้าลองไปเรียนรู้เองดู” เมื่อสังเกตเห็นว่าสวี่ชิงสนใจวิชานี้ เยี่ยหลิงก็กินเมล็ดแตงเลือดเนื้อพลางเอ่ยขึ้น
“ข้าบอกแบบคร่าวๆ กับเจ้าได้ อันที่จริงฝึกบำเพ็ญวิชานี้ไม่ได้ยากมาก ที่ยากคือต้องสัมผัสรับรู้รูปสักการะปีศาจของสำนัก ย้ายมันมาในทะเลความรู้สึก หลังจากไปถึงระดับหนึ่งแล้วก็จะใช้เคล็ดจำแลงปีศาจได้ จำแลงร่างมันออกมา และร่างตนก็จะเปลี่ยนเป็นปีศาจ”
พูดพลาง เยี่ยหลิงก็แสดงออกมารอบหนึ่ง
สวี่ชิงใจสั่น เขาคิดถึงเขาจักรพรรดิภูตของตน ในระดับหนึ่ง ก็มองเขาจักรพรรดิภูตของตนเป็นปีศาจขนาดใหญ่ตนหนึ่งได้เช่นกัน
เช่นนั้นหากตนใช้เคล็ดจำแลงปีศาจได้ จะใช้วิชานี้จำแลงเขาจักรพรรดิภูติออกมาได้หรือไม่
วิชานี้ ง่ายกว่าที่อาจารย์เคยบอกไว้มาก
สวี่ชิงใจเต้นทันที
“ชอบก็ไปเรียนสิ” ข่งเสียงหรงหัวเราะ

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา