บทที่ 426 เดินในตรอกมืดเพียงลำพัง
“เจ้า!”
พ่อบ้านซุนแห่งจวนเหยาสีหน้าย่ำแย่ในทันที มองผู้ครองกระบี่น่าเกรงขามแต่ละคนที่รังสีอำมหิตแผ่ซ่านประดุจฝูงหมาป่ารอบๆ แล้วมองทูตเผ่าคลื่นสมุทรที่อยู่ข้างกาย
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมา ในใจโอดครวญ
ความจริงครั้งนี้เขาก็ไม่ได้อยากมา ในเมื่อพาเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ไปวังครองกระบี่จับกุมผู้ครองกระบี่ เรื่องนี้เดิมก็ไม่เหมาะสมมากๆ อยู่แล้ว แต่ท่านโหวสั่งเขา ให้เขาต้องทำให้ทูตที่มาเยือนของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์พอใจให้ได้ ดังนั้นตอนนี้จึงทำได้เพียงกัดฟันกรอด ในดวงตาฉายแววเหี้ยมโหด
“ท่านโหวมีคำสั่งจับกุมพวกข่งเสียงหลงทั้งห้าคน เอาตัวไป!”
ผู้ดูแลซือหม่าขมวดคิ้ว องครักษ์ชุดดำเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ตนนั้นใบหน้าฉายความชั่วร้ายนิดๆ ยิ้มเล็กน้อย ในส่วนลึกของดวงตามีประกายล้ำลึกทางหนึ่งกะพริบวาบ
ครั้งนี้เขาตามทูตในเผ่ามาที่นี่ ความจริงหาเรื่องพวกข่งเสียงหลงเป็นเรื่องลวง ภารกิจที่แท้จริงของเขาคือจับตามองตระกูลเหยา
และตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาก็สังเกตสีหน้าของผู้บำเพ็ญตระกูลเหยาทุกคน ไม่ปล่อยผ่านไปแม้แต่คนเดียว ยิ่งใช้เคล็ดวิชาลับพิสูจน์ว่าพวกเขาจงใจแสดงละครหรือไม่
และผู้บำเพ็ญตระกูลเหยาสิบกว่าคนนั่นบนลานในตอนนี้ เมื่อได้ยินก็ต่างโอดครวญในใจ แต่ภายใต้คำสั่งนี้ไม่ออกไปก็ไม่ได้ ดังนั้นพลังบำเพ็ญจึงปะทุขึ้นรัศมีอำนาจพวยพุ่ง กำลังจะพุ่งไปหาพวกสวี่ชิง
เห็นเรื่องกำลังจะบานปลาย แต่ในตอนนี้เอง เสียงแค่นจมูกเย็นชาก็ดังมาจากท้องฟ้า
“ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาเหิมเกริมหรือ!”
เสี้ยวพริบตาต่อมา พลังสั่นสะเทือนฟ้าดินกลุ่มหนึ่งประดุจพลิกขุนเขาถล่มมหาสมุทรก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า สยบทั่วทุกสารทิศ
ทั้งตำหนักบัญญัติสั่นสะเทือนทันที ผู้บำเพ็ญทั้งหลายรอบๆ ต่างจิตใจสั่นสะท้าน โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญตระกูลเหยาหลายสิบคนพวกนั้น แต่ละคนยิ่งไม่อาจขยับได้แม้แต่น้อย ราวถูกหมื่นขุนเขากดอัดลงมา
จากนั้น เงาร่างหนึ่งก็ก้าวออกมาจากท้องฟ้า
เขาสวมชุดนักพรตผู้ครองกระบี่ ขณะเดินผืนฟ้าข้างหลังบิดเบี้ยว เกิดเป็นร่างมายานับไม่ถ้วนทะลักเข้าไปในจุดลึกของท้องฟ้า ทำให้วังครองกระบี่ทั้งวังสั่นสะเทือน นั่นเป็นสัญลักษณ์ของหมื่นภาพเงามายา หวนสู่อนัตตาขั้นสอง
ในตอนเดินมา รอบๆ เขายังมีภาพมายาที่มิติแหลกสลายมิติแล้วมิติเล่า เหมือนว่ารอบๆ เขามีโลกแต่ละใบๆ ถือกำเนิดขึ้นมาเอง และโลกเหล่านั้นก็เหมือนฟองอากาศ เกิดขึ้นในเวลาเพียงพริบตา และแตกสลายไปในทันที
นี่คือ…สัญลักษณ์ของล้านความคิดเบิกนภา หวนสู่อนัตตาขั้นสาม!
เพียงแต่จำนวนของโลกรอบๆ ชายชราไม่ได้มีมากนัก เขายังไม่ได้ก้าวสู่ขั้นที่สามอย่างแท้จริง พูดได้ว่าก้าวเข้าไปขาเดียวเท่านั้น
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังคงแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง น่าครั่นคร้ามนัก ตอนนี้จากการที่ปรากฏตัวขึ้น วังครองกระบี่ทั้งวังก็เงียบสงบลง
สวี่ชิงจำได้ทันที อีกฝ่ายก็คือรองเจ้าวังครองกระบี่ที่ปรากฏตัวขึ้นในตอนผู้ครองกระบี่ปฏิญาณตนนั่นเอง
“คารวะรองเจ้าวัง!” ผู้ดูแลซือหม่าประสานหมัดโค้งคารวะอย่างเคารพนอบน้อมเป็นคนแรก
สวี่ชิงและพวกข่งเสียงหลงประสานหมัดทันที ไม่นานนักผู้ครองกระบี่ทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างประสานหมัดโค้งคารวะ
“คารวะรองเจ้าวัง!”
รองเจ้าวังใบหน้าไร้อารมณ์ มองไปทางพ่อบ้านซุนของตระกูลเหยาที่ตอนนี้สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เอ่ยขึ้นราบเรียบ
“ไสหัวไป!”
พ่อบ้านซุนตัวสั่นสะท้าน อยากจะพูดอะไรแต่ไม่กล้า ทำได้เพียงก้มหน้า หลังจากโค้งคารวะองครักษ์ชุดดำเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ก็พาผู้บำเพ็ญตระกูลเหยาทั้งหลายจากไปอย่างรวดเร็วด้วยเนื้อตัวอันสั่นเทา
ไม่สนใจตระกูลเหยา รองเจ้าวังมองไปทางเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์อย่างเย็นชา
“แล้วยังมีเจ้า เจ้าเป็นทูต ดังนั้นข้าให้เวลาเจ้าหนีเอาตัวรอดหนึ่งก้านธูปเพื่อเป็นการแสดงมารยาทของเราเผ่ามนุษย์ แต่หากหนึ่งก้านธูปเจ้าหนีไปไม่ถึงคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็จะฆ่าเจ้า”
องครักษ์ชุดดำคนนั้นหน้าเปลี่ยนสี เหินออกไปทันที ตรงดิ่งไปยังค่ายกลส่งข้ามที่อยู่ที่ไกล
ทำทุกอย่างพวกนี้เสร็จ รองเจ้าวังก็มองไปทางพวกสวี่ชิง แค่นเสียงขึ้นจมูกขึ้นมาทีหนึ่ง
“พวกเจ้าใจกล้าไม่น้อยเลย เจ้าวังมีคำสั่ง ลงโทษพวกเจ้าทั้งห้าคนขังในคุกของกรมราชทัณฑ์เป็นเวลาหนึ่งเดือน!
“ผู้ดูแลซือหม่า เจ้าคุมตัวพวกเขาไปคุกกรมราชทัณฑ์ด้วยตัวเอง!”
สวี่ชิงก้มหน้า พวกซานเหอจื่อลอบถอนหายใจ แต่ก็ก้มหน้าลงไปเช่นกัน
แต่ว่าข่งเสียงหลงไม่สั่นแล้ว เขาแค่เผชิญหน้ากับเจ้าวังเท่านั้นถึงจะกลัว ตอนนี้แค่ไม่ค่อยร่าเริงเท่าใดนัก เห็นได้ชัดว่ารู้สึกว่าหนีมาได้ตั้งนาน แต่ก็ยังหนีเคราะห์กรรมเข้าคุกไม่พ้นอยู่ดี
“น้อมรับคำสั่ง!” ผู้ดูแลซือหม่าตอนนี้เมื่อได้ยิน สีหน้าก็เคร่งขรึม เอ่ยอย่างจริงจัง
เขาย่อมฟังออกว่าคุมตัวในที่นี้ คือคุ้มกันเสียมากกว่า เพื่อป้องกันเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หรือตระกูลเหยาลอบลงมือ
“แยกย้ายกันไปได้แล้ว เอะอะโหวกเหวก จำเอาไว้ด้วยว่าพวกเจ้าเป็นผู้ครองกระบี่!”
รองเจ้าวังพูดจบก็จากด้วยใบหน้าเย็นชา
ผู้ดูแลซือหม่าเงยหน้ามองพวกข่งเสียงหลง เดินมา หลังจากสายตากวาดมองไปทีละคนๆ ก็จับจ้องไปที่สวี่ชิง เอ่ยเนิบนาบ
“ข้าเป็นผู้ครองกระบี่ของวังครองกระบี่ก่อน แล้วจึงเป็นผู้บำเพ็ญของสำนักเซียนล้ำบารมี” คำพูดนี้ของผู้ดูแลซือหม่า คนนอกต้องขบคิดจึงจะเข้าใจถึงความหมายแฝงที่อยู่ในนั้น
แต่สวี่ชิงที่เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง เขาเข้าใจในทันที จึงประสานหมัดคารวะ แต่ว่าก็ไม่ได้เชื่อทั้งหมด ยังต้องทำการพิสูจน์
“ไปเถอะ ข้าจะส่งพวกเจ้าไปกรมราชทัณฑ์” ผู้ดูแลซือหม่าเดินไปก่อน
ข่งเสียงหลงหันไปถอนหายใจกับสวี่ชิง ซานเหอจื่อกับหวังเฉินกะพริบตาปริบๆ เข้ามาใกล้สวี่ชิงเล็กน้อย เอ่ยเสียงต่ำขึ้นมา
“สวี่ชิง กลับบ้านเจ้าก็ต้องพึ่งเจ้าแล้ว”
สวี่ชิงพยักหน้าเงียบๆ คนทั้งหลายต่างถอนหายใจ ตามอยู่ข้างหลังผู้ดูแลซือหม่าไปจากวังครองกระบี่
ในตอนที่พวกเขามุ่งหน้ามายังกรมราชทัณฑ์ ตอนนี้ ณ ใจกลางเมืองหลวงเขตปกครอง มีแท่นบูชาวงกลมแท่นหนึ่ง
แท่นบูชานี้ใหญ่มาก แต่ตรงกลางกลับว่างเปล่า
ในนั้นมีตำหนักหลักสามตำหนัก แบ่งเป็นสีดำ แดงและขาว รอบๆ มีตำหนักข้างมากมาย หมู่อาคารสูงตระหง่าน หอสูงตั้งตระการ
หลังคาของตำหนักหลักทั้งสามมีสีที่ต่างกันไป ดูทรงอำนาจไม่ธรรมดา รูปแบบเป็นเอกลักษณ์
และที่นี่แปลกประหลาดนัก ดูเหมือนอยู่ในแท่นบูชา แต่ความจริงแล้วกลับไม่มีอยู่จริง
เพราะในยามที่ยืนอยู่ในหมู่ตำหนักแห่งนี้มองออกไปข้างนอก สิ่งที่เห็นไม่ใช่เมืองหลวงเขตปกครอง แต่เป็นความว่างเปล่า ไม่มีอะไรทั้งนั้น
ในความว่างเปล่ามีเพียงหมู่ตำหนักเหล่านี้อยู่เท่านั้น
ตอนนี้ในตำหนักสีขาวที่อยู่ใจกลางมีคนสามคน
สองคนนั่งตรงข้ามกันกำลังเดินหมากอยู่ คนหนึ่งยืนอยู่ระหว่างกลางจับจ้องกระดานหมาก
คนที่เดินหมากคือเจ้าวังครองกระบี่ คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาเป็นบัณฑิตวัยกลางคนสวมชุดปักดิ้น
คนคนนี้ใบหน้าขาวสะอาดแฝงด้วยความอ่อนโยนนิดๆ ตอนนี้กำลังยิ้มหยิบหมากสีดำเม็ดหนึ่งวางไปบนกระดานหมาก แล้วใช้นิ้วดันหมาก
“เจ้าวัง ท่านลงมือรุนแรงเกินไป หากไม่ระวังจะกลายเป็นมังกรที่บินไปถึงปลายขอบฟ้า ไม่อาจย้อนคืนมาได้”
“เมื่อครู่ในวังครองกระบี่มีประโยคหนึ่งพูดได้ไม่ผิดเลย” เจ้าวังมองกระดานหมาก เอ่ยราบเรียบ
“ประโยคใดหรือ” บัณฑิตชุดปักดิ้นยิ้มพลางถาม


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา