บทที่ 429 โลกในภาพวาด
ระหว่างฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาว อันที่จริงคั่นไว้ด้วยหิมะหนึ่งรอบ
ในเดือนที่ห้าที่สวี่ชิงมาถึงเมืองหลวงเขตปกครอง หน้าหนาวของเมืองหลวงเขตปกครองก็มาถึงอย่างไร้ซุ่มเสียงจากการร่วงหล่นของหิมะรอบแรก
ท่ามกลางการปกคลุมของสีเงิน หิมะพร่างพราวร่วงลงมาบนสิ่งปลูกสร้างแต่ละหลัง ถนนแต่ละสาย บนเส้นผมของคนเดินถนนแต่ละคน
ขณะที่แต่งแต้มไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ ทำให้ตอนทอดสายตาออกไป แทบจะทั่วทั้งเมืองมีคนผมขาวเพิ่มมากขึ้นอีกพอสมควร
หิมะรอบแรกมาอย่างกะทันหัน และรุนแรงมาก
ตกลงมาด้านนอกกรมราชทัณฑ์ โปรยปรายลงมาที่บนหอกระบี่แต่ละหอ
ในสายลมหิมะ สวี่ชิงที่อยู่ในชุดนักพรตสีขาวของผู้ครองกระบี่ เดินตรงไปยังกรมราชทัณฑ์ท่ามกลางโลกสีหิมะนี้
วันนี้ เป็นวันที่เขาต้องไปเข้าเวรที่เขตปิ่ง
หลายวันก่อนหน้าเขาสะกดเขตติงหนึ่งสำเร็จ ผ่านการทดสอบเลื่อนขั้น นับจากนั้นเขาก็ไม่ใช่พลทหารเขตติง แต่เป็นพลทหารเขตปิ่ง
ส่วนหน้าที่สะกดเขตติงหนึ่งสามสอง สวี่ชิงก็ไม่ได้ทิ้ง เขายังรับเขตติงหนึ่งสามสองควบคู่ด้วย
ส่วนชุดพัสดีของเขตปิ่งก็ไม่ได้แตกต่างกับเขตติง มีแค่ตำแหน่งคอเสื้อที่เพิ่มเข็มกลัดสีดำมาอีกชิ้น
รูปร่างของเข็มกลัดนี้เป็นกิ่งไม้
หากเปรียบกรมราชทัณฑ์เป็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เช่นนั้นพัสดีเขตติงก็คือใบไม้ ส่วนเขตปิ่งคือกิ่งไม้
เวลานี้เมื่อเดินลงไปตามบันไดของกรมราชทัณฑ์ สวี่ชิงสัมผัสถึงเกียรติที่เข็มกลัดนี้เป็นตัวแทนได้อย่างชัดเจน เพราะตลอดทางที่เขาเห็นพัสดีเขตติง ก็ล้วนคารวะมาอย่างนอบน้อม
สวี่ชิงคารวะตอบ เดินมาถึงชั้นที่แปดสิบแปด ผ่านชั้นแปดสิบเก้า ตอนที่เหยียบบันไดที่ทอดลงไปยังชั้นเก้าสิบ เขาก็สูดลมหายใจลึก สีหน้าเคร่งขรึม
‘ชั้นเก้าสิบ…’ สวี่ชิงพึมพำในใจ ก้าวเท้าอย่างมั่นคง เดินลงไปช้าๆ
เสียงตึกตึกดังมาจากเท้าสวี่ชิง
นั่นเป็นเสียงเดินลงบนขั้นบันไดของเขาเวลานี้ดังก้องไปทั่ว ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงัดนี้ จึงชัดเจนเป็นพิเศษ
และแสงที่มาจากส่วนบนของกรมราชทัณฑ์ก็ส่องมาไม่ถึงระดับความลึกที่ชั้นเก้าสิบได้ ดังนั้นโลกที่แสดงอยู่เบื้องหน้าสวี่ชิง จึงยิ่งมืดมนเข้าไปอีก
จนกระทั่งเดินมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายของชั้นที่เก้าสิบ สวี่ชิงก็หยุดเท้า เงยหน้ามองกรมราชทัณฑ์ชั้นที่เก้าสิบ
ที่นี่แตกต่างกับเขตติงอย่างสิ้นเชิง
พื้นเปียกชื้น มีตะไคร่ขึ้นอยู่ทั่ว คั่นแค่ชั้นเดียว สวี่ชิงเงยหน้ามองขึ้นไป กลับมีความรู้สึกเหมือนคั่นไว้ด้วยโลกใบหนึ่งกับเขตติง
เพราะที่นี่แม้จะยังวนเวียนเช่นเดิม แต่ไม่มีห้องขังเลย และไม่มีประตูห้องขังด้วย!
ที่ผนังที่รูปร่างวนเวียนทั้งหมด สิ่งที่ตาเห็นล้วนเป็นภาพวาดฝาผนังทั้งสิ้น
ภาพวาดฝาผนังลากยาวไปทั่วทั้งผนัง ด้านในวาดตะวันจันทราเมฆหมอก วาดภูเขาแม่น้ำสิ่งปลูกสร้าง วาดสรรพชีวิตเอาไว้!
ราวกับเป็นโลกที่สมบูรณ์ใบหนึ่ง!
เพียงแต่ดูไร้สีสัน ล้วนเป็นสีทึบ
สวี่ชิงใจสั่นสะท้าน มองภาพนี้ เขาคิดถึงเผ่าจิตรกรรมในเขตติงหนึ่งสามสองขึ้นมา
ครู่ต่อมา สวี่ชิงก็เดินไปยังภาพวาดฝาผนัง หลังจากพิจารณาอย่างละเอียดม่านตาก็หดลง
รูปภาพฝาผนังเหล่านี้ เหมือนมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น ทั้งหมดภายในภาพล้วนกำลังเปลี่ยนแปลง เมฆหมอกกำลังเคลื่อนคล้อย แม่น้ำภูเขากำลังเปลี่ยนแปลง
ราวกับที่นั่นเป็นโลกที่มืดมนอีกแห่งหนึ่งจริงๆ ส่วนสวี่ชิงยืนอยู่นอกโลกก้มมองดูทุกสิ่ง
“ชั้นเก้าสิบ มีห้องขังเพียงห้องเดียว”
เสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่ง ดังขึ้นมาด้านหลังสวี่ชิงกะทันหันท่ามกลางความมืดมน
สวี่ชิงพลันหันหลังไป เห็นร่างหนึ่งเดินออกมาจากเงามืด
ชายชราร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง แผ่แรงกดดันออกมาจากร่าง ดวงตาเย็นชา ทั่วร่างแผ่ปราณพิฆาตเข้มข้นออกมาด้วย เมื่อถูกเขาจ้องมองนานๆ ก็มีเสียงผีครวญหมาป่าเห่าหอนขึ้นมาในใจด้วย
ราวกับว่ามีจิตวิญญาณนับไม่ถ้วนที่ตายไปด้วยน้ำมือเขา ทำให้วิญญาณอาฆาตห้อมล้อมตัวเขา
“คารวะผู้อาวุโสมือผี!”
สวี่ชิงจำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายก็คืออาจารย์ที่มาอธิบายจุดตายของเผ่าต่างๆ ให้กับผู้ครองกระบี่หน้าใหม่ในการฝึกฝนลับผู้ครองกระบี่ครั้งนั้น
วันนั้นสวี่ชิงเป็นลูกมือให้เขา เห็นมากับตาว่าชายชราคนนี้ล้วงศพนับไม่ถ้วนออกมา และมีบางส่วนที่สังหารในตอนนั้นด้วย
ก่อนหน้านี้เคยได้ยินข่งเสียงหรงพูดว่าอีกฝ่ายคือพัสดี แต่ช่วงหลายเดือนนี้ที่สวี่ชิงอยู่ในกรมราชทัณฑ์ก็ไม่เห็นเลย ตอนนั้นเขาก็คาดเดาไว้แล้วว่าอีกฝ่ายน่าจะอยู่ในชั้นที่ลึกยิ่งกว่า
ตอนนี้เมื่อได้พบ สวี่ชิงก็ไม่รู้สึกเกินคาดนัก คารวะด้วยสีหน้านอบน้อม
ชายชรามองสวี่ชิงผาดหนึ่ง ดวงตาก็เผยประกายชื่นชมออกมา
“ข้าจำเจ้าได้ หนุ่มน้อยที่เล่นงานเจ้าผีขี้โรคจนม่อยกระรอกไปคนนั้น
“เลื่อนขั้นจากเขตติงขึ้นมาได้ไวขนาดนี้เชียว ไม่เลว”
ชายชรายิ้ม เพียงแต่ทั่วร่างเขาปราณพิฆาตเข้มข้นเกินไป รอยยิ้มนี้จึงรู้สึกถึงมืดหม่นอยู่ด้วย หากเป็นคนอื่นคงขนลุกชูชันไปแล้ว แต่สวี่ชิงเห็นเป็นเรื่องปกติ กลับรู้สึกว่าเช่นนี้ถึงจะปกติเสียด้วยซ้ำไป
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของสวี่ชิงไม่เปลี่ยนไป ชายชราก็ยิ่งพึงพอใจ ที่จริงครั้งนั้นตอนที่เขาเลือกสวี่ชิงมาเป็นลูกมือ ก็เพราะต้องตาเขามากเช่นกัน
ตอนนี้เดินมาเบื้องหน้าสวี่ชิง เขามองไปยังภาพวาดฝาผนัง เอ่ยเสียงเรียบ
“พลทหารของเขตปิ่ง พลังบำเพ็ญล้วนเป็นปราณก่อกำเนิดทั้งสิ้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร”
“เพราะวิชาที่สะกดนักโทษในเขตปิ่งแตกต่างกับเขตติงใช่หรือไม่ขอรับ” สวี่ชิงคิดๆ จากนั้นจึงตอบ
“ข้าคิดว่าเจ้าจะพูดว่าเพราะพลังบำเพ็ญของนักโทษลึกล้ำมากกว่าเสียอีก” ชายชรายิ้ม
“นักโทษของเขตปิ่งมีพลังบำเพ็ญเหนือกว่าก็จริง นักโทษปราณก่อกำเนิดรวมถึงนักโทษสมบัติวิญญาณก็มี แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญก็คือ…มีเพียงพลทหารระดับปราณก่อกำเนิดเท่านั้น ที่สามารถแบกรับกฎเกณฑ์ของโลกใบเล็ก แล้วไม่ถูกมันบดขยี้ทำร้ายได้”
สายตาชายชรายังคงมองภาพวาดฝาผนัง เสียงก้องไปทั้งสี่ทิศ
“กฎเกณฑ์โลกใบเล็กหรือขอรับ” สวี่ชิงครุ่นคิด มองไปทางภาพวาดฝาผนังเช่นกัน
“นับตั้งแต่ชั้นเก้าสิบลงไปถึงหนึ่งร้อยยี่สิบสองเป็นเขตปิ่งทั้งหมด มีทั้งหมดสามสิบสามชั้น” ชายชราเอ่ยแช่มช้า
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา