บทที่ 43 เงาขุยบริบูรณ์
ณ ถ้ำหินที่สวี่ชิงอยู่ พื้นเต็มไปด้วยขนนก อากาศเจือกลิ่นเหม็นสะอิดสะเอียน ในเมืองร้าง
ก้อนหินและวัตถุต่างๆ ที่เขาเคยเอามาใช้อุดรอยแยกข้างๆ ตอนนี้ถูกไอพลังประหลาดกัดกินอย่างสาหัสรุนแรง
ฝุ่นรอบๆ ก็มากกว่าตอนที่เขาจากไปในตอนนั้นมาก
เห็นได้ชัดว่าต่อให้เป็นพื้นที่ต้องห้าม ก็มีคนเก็บกวาดมาสำรวจค้นอยู่เนืองๆ แต่จุดคุ้มครองแห่งนี้ของเขาลับตาเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นหลังจากที่เขาจากไปก็ไม่เคยมีใครมาที่นี่
ดังนั้นกลิ่นของฝุ่นและของเน่าเสียที่ผสมรวมกันก็ลอยเข้าจมูกสวี่ชิงอยู่ตลอด แต่เขาไม่สนใจ
สวี่ชิงในตอนนี้นั่งขัดสมาธิทำสมาธิ เคล็ดวิชาคีรีสมุทรในร่างโคจรเต็มที่ หลังจากที่สะสมพลังแล้วก็กำลังจะทะลวงขั้นที่เจ็ดอย่างเต็มกำลัง
ส่วนด้านนอก เสียงคำรามและเสียงโหยหวนแปลกประหลาด คลอเคล้ากับเสียงร้องไห้ที่ชวนให้ขนลุกสะท้อนก้องไม่หยุด นี่ทำให้สวี่ชิงเหม่อลอยไปชั่วขณะหนึ่ง เกิดเป็นภาพหลอนขึ้นมา
เหมือนว่ากลับไปเมื่อครึ่งปีก่อน
ตัวเองในตอนนั้นอยู่ในสายตาของเทพเจ้า อยู่ท่ามกลางฝนเลือดโปรยปราย เอาชีวิตรอดอย่างยากลำบากเพียงลำพัง ในเมืองที่กระดูกกลาดเกลื่อนไปทั่วทุกที่แห่งนี้
สวี่ชิงเงียบนิ่ง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในหัวเขาก็ไม่มีเรื่องราวในอดีตปรากฏขึ้นมาอีก จิตใจจมอยู่กับการฝึกบำเพ็ญโดยสมบูรณ์ พลังวิญญาณรอบๆ รวมกันช้าๆ พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วตามรูขุมขนทั่วทั้งร่างกายจากการโคจรไม่หยุดของพลังบำเพ็ญในกาย
เสียงบึ้มๆ ค่อยๆ ดังสะท้อนในร่าง เสียงนี้ดังขึ้นเรื่อยๆ ภายหลังก็เปลี่ยนเป็นส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหววนเวียนอยู่ในหัว
สิ่งที่ตามมาหลังจากเสียงกึกก้องคือสิ่งแปลกปลอมสีดำที่ขับออกมาจากรูขุมขนทั่วร่างกาย สิ่งแปลกปลอมพวกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
และร่างกายใต้เสื้อผ้าของสวี่ชิงก็ปะทุพลังน่าตื่นตะลึงออกมา จากเลือดเนื้อตามที่ขับของเสียออกมา ณ เสี้ยวขณะนี้เอง
เส้นเลือดทั้งหมดของเขาโป่งนูนขึ้น เลือดเนื้อของเขาฉีกขาดและเกิดการยืดหดตัวไม่หยุด กระดูกของเขาส่งเสียงดังกึกก้องออกมาเช่นกัน
จวบจนหนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ดวงสวี่ชิงก็พลันเบิกตาขึ้นตามเสียงระเบิดราวอัสนีสวรรค์ในหัวนั่น แสงสีม่วงก็พุ่งออกมาจากรูม่านตาของเขา
ในเสี้ยวขณะนี้ข้างหลังของเขาก็มีเงาขุยปรากฏออกมาอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้…เงาขุยของเขาต่างไปจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง!
ทั่วทั้งร่างดำสนิท กำยำยิ่งขึ้น กระทั่งว่าส่วนหัวก็ไม่ได้มีแค่เขาเดียวอีกต่อไป แต่มีสองเขาเหมือนกับวัว อีกทั้งยังมีลักษณะม้วนแบบก้นหอย ที่ปลายเขามีสายฟ้าแลบพันล้อมอยู่รางๆ
ใบหน้าเหี้ยมเกรียมสุดขีดยิ่ง เวลาที่ปากน่าสยดสยองอ้าขึ้นก็เหมือนสามารถกลืนกินผีร้ายได้ทั้งเป็น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรงเล็บทั้งสองข้างที่คมกริบ เมื่อรวมกับดวงตาสีม่วงแล้วก็ยิ่งแผ่ความเหี้ยมโหดอำมหิตที่น่าหวาดหวั่นกระจายออกมา
เหมือนว่าระลอกคลื่นพลังแข็งแกร่งแผ่มาจากเงาขุยจะสามารถทะลุผ่านถ้ำหิน สั่นคลอนไปทั่วทุกสารทิศ
เงาขุยบริบูรณ์!
นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเคล็ดวิชาคีรีสมุทรบริบูรณ์แล้วเท่านั้น หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ฝึกบำเพ็ญถึงระดับนี้ก็เป็นฝึกกายาระดับรวมปราณขั้นบริบูรณ์ ไม่สามารถยกระดับได้อีกต่อไป แต่ตอนนี้สวี่ชิงเพิ่งจะขั้นที่เจ็ดเท่านั้น
ส่วนร่างกายของเขา ณ ขณะนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปมากเช่นเดียวกัน เรือนร่างสูงโปร่ง บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เวลาที่แสงสีม่วงคงอยู่ในดวงตาของเขาก็เหนือกว่าเมื่อก่อนยิ่ง
โดยเฉพาะใบหน้าของเขา…
หากบอกว่าสวี่ชิงในตอนที่เคล็ดวิชาคีรีสมุทรอยู่ขั้นที่หกก็หล่อเหลางดงามเป็นอย่างยิ่งแล้ว เช่นนั้นเขาในตอนนี้ ด้วยดวงตาสีม่วงต่อให้ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบไคล ก็ห่างจากคำว่างดงามชวนใหลหลงไม่ไกลแล้ว
สวี่ชิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ สิ่งที่เขาสนใจคือพลังที่ปะทุออกไปข้างนอกได้ในตอนนี้
ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าอย่างรวดเร็ว มองเส้นเลือดทุกเส้นที่โป่งนูนขึ้นมาบนแขนและบนหมัดที่ตัวเองกอบกำอย่างช้าๆ
ในขณะที่แสงสีม่วงในดวงตาค่อยๆ สลายไป เขาก็สัมผัสถึงพลังของตัวเองได้ชัดเจนอย่างมาก…
มากกว่าก่อนหน้านี้เกินหนึ่งเท่าตัว!
“พลังหนึ่งขุยอย่างนั้นหรือ” สวี่ชิงพึมพำ มองรอบๆ
ข้างนอกมืดมิด ในถ้ำก็ไม่เห็นแสงสว่างเลยแม้น้อยเช่นกัน แม้สวี่ชิงตอนนี้พอจะฝืนมองทุกอย่างให้เห็นชัดได้ แต่ก็มองไม่เห็นเงา
ทว่าในความรู้สึก เขาสัมผัสได้ถึงเงา ดังนั้นหลังจากที่พูดพึมพำก็ลองบังคับดู
หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป ตาสวี่ชิงฉายแววตื่นตะลึงและอัศจรรย์ออกมา
เขารู้สึกว่าการควบคุมเงาของตัวเองดีกว่าแต่ก่อนมาก กระทั่งว่าสามารถควบคุมรายละเอียดให้ไอพลังประหลาดที่รวมอยู่ในเงากลับมาเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายได้
แม้ว่าทำแบบนี้จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ก็พิสูจน์ได้อ้อมๆ ว่าการควบคุมเงาของเขาคล่องแคล่วเป็นอิสระมากขึ้น
ทุกอย่างนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่ากำลังรบของตัวเองในตอนนี้หากได้เจอหัวหน้าฐานอีกครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้ดาบสวรรค์เลียนเทพเลย แค่เพียงหมัดเดียว…ก็สามารถชกหัวหน้าฐานที่เป็นผู้ฝึกกายขั้นแปดแขนระเบิดได้
‘แต่น่าเสียดาย เผชิญหน้ากับบรรพจารย์สำนักวัชระก็ยังห่างชั้นกันมากเกินไป’
สวี่ชิงส่ายหน้า แม้จะไม่ได้ประมือกับอีกฝ่ายจริงๆ แต่การหลบหนีตลอดทางมานี้และเงาหมัดที่มาจากบรรพจารย์สำนักวัชระก็ทำให้เขารู้ถึงความห่างชั้นเป็นอย่างดี
ดังนั้นต่อให้เงาจะสามารถจู่โจมให้อีกฝ่ายคาดไม่ถึงได้ แต่เขาก็ทราบเป็นอย่างดีว่าตัวเองในตอนนี้ไม่มีทางมีกำลังสู้กับระดับสร้างฐาน
‘ทว่า หากเจอระดับรวมปราณขั้นเก้าสองคนนั้น ข้าฆ่าได้’
มองไปข้างนอกตามรอยแยกทางออกของถ้ำหิน ประกายเย็นเยือกฉายวาบในดวงตาสวี่ชิง
เสียงคำรามและเสียงแปลกประหลาดดังลอยมาข้างหูเป็นระลอกๆ เดี๋ยวไกลเดี๋ยวใกล้ เปรียบเทียบกับความเงียบสงัดในถ้ำอย่างชัดเจน
ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงมีความรู้สึกเหมือนกลับไปยังเมื่อครึ่งปีก่อนอีกครั้ง เขาหยิบเอาเหล็กแหลมออกมาตามสัญชาตญาณ กำมันเอาไว้ช้าๆ พึมพำในใจว่าจะไปอย่างไร จะทำอย่างไรดี
หากไปตอนนี้เขาคิดว่ามีโอกาสสูงที่จะไปถึงเมืองเขากวางได้อย่างราบรื่น
แต่…สวี่ชิงรู้สึกเจ็บใจนิดๆ จิตสังหารทอประกายวาบในตา
‘ไม่ฆ่าสองสามคนนั่น ภัยแอบแฝงประเภทนี้ก็ชวนให้เป็นกังวลอยู่ไม่สุขจริงๆ’ สวี่ชิงหรี่ตา ในหัวมีแผนที่ของทั้งเมืองผุดวาบขึ้นมา
เขาคุ้นเคยกับเมืองแห่งนี้เป็นอย่างดี

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา