บทที่ 442 พบเจอโดยไม่คาดฝัน
สวี่ชิงมองชายหนุ่มคนนี้ผาดหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
คืนเมื่อวานนี้ ภายใต้การร้องขออ้อนวอนจากชายหนุ่มเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์คนนี้ เขากับนายกองขบคิดอยู่นาน สุดท้ายก็ตกลงกับความเห็นของอีกฝ่าย วางแผนอาศัยขบวนสินค้าของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ไปจากพื้นที่ค้นหาของผู้ครองกระบี่แห่งนี้
ส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากเข้าไปในเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์แล้วจะไปรัฐยอดฟ้าที่อีกฝ่ายอยู่หรือไม่ สวี่ชิงยังไม่ได้ให้คำตอบ
และสถานที่ซ่อนตัวที่จัดไว้ให้พวกเขาก็คือบนผิวของอสูรสี่ขาตัวนี้ วิธีการก็ยอดเยี่ยมอัศจรรย์นัก ยิ่งมีการปกปิดกลิ่นอาย เห็นได้ชัดว่าเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เชี่ยวชาญวิชาปกปิดอำพรางประเภทนี้มาก
“ผู้น้อยผู้บำเพ็ญคนนี้ไม่ทำให้ท่านผู้มาจากเผ่าสูงส่งผิดหวัง ทำการปกปิดผู้ครองกระบี่สำเร็จแล้ว เส้นทางต่อจากนี้น่าจะมีเหตุไม่คาดฝันอะไรมากนัก หลังจากนี้หนึ่งเดือนพวกเราก็จะถึงเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ขอรับ”
พูดแล้ว เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หนุ่มคนนี้ก็ยกมือขวาขึ้นหยิบใบบัวออกมาจากถุงเก็บของสองใบ ทูนไว้เหนือศีรษะอย่างนอบน้อม
“ผู้น้อยผู้บำเพ็ญคนนี้ชั่วชีวิตเคยพบเห็นท่านผู้มาจากเผ่าสูงส่งเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นการพบเห็นอย่างไกลๆ แม้จะเคยได้ยินบิดาเอ่ยถึงชีวิตความเป็นอยู่ของท่านผู้มาจากเผ่าสูงส่งอย่างเคารพอยู่หลายครั้ง แต่ก็เข้าใจไม่มากเท่าไร ได้ยินเพียงว่าท่านผู้มาจากเผ่าสูงส่งชอบดื่มน้ำค้างจันทราก่อนที่อรุณจะรุ่ง จึงสั่งให้คนไปเก็บมาขอรับ”
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ แต่ในใจกระตุก แม้เขาจะมีความรู้ความเข้าใจในเผ่าฟ้าทมิฬ แต่ก็ไม่ได้ละเอียดเช่นนี้และไม่รู้เรื่องที่ชอบกินน้ำค้างจันทราด้วยเช่นกัน
อีกทั้งเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หนุ่มตนนี้คำพูดคลุมเครือดูเหมือนปกติ แต่กลับแฝงไว้ด้วยการหยั่งเชิง
ดังนั้นเผ่าฟ้าทมิฬชอบกินน้ำค้างจันทราหรือไม่ก็ไม่รู้ได้เช่นกัน
ดังนั้นแล้วจึงเงียบนิ่งไม่พูด
นายกองกลับหัวเราะราบเรียบ มือขวายกขึ้นคว้า ทันใดนั้นใบบัวสองใบนั่นก็ลอยมาหาเขา ไม่ได้ดื่มน้ำค้างจันทราในนั้นโดยตรง แต่ยกนิ้วเรียวเล็ก หลังจากที่แตะไปเบาๆ ก็ทาไปบนเปลือกตา
เห็นเพียงน้ำค้างจันทรานั่นสำแดงฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ดวงตาสีดำทั้งสองข้างของนายกองมีเยื่อบางๆ ปรากฏขึ้นมาชั้นหนึ่ง ปกคลุมดวงตาเอาไว้ สีหน้าฉายแววสบายอกสบายใจออกมาเล็กน้อย
“ขอบใจมาก ถอยไปเถิด”
เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หนุ่มตนนี้นับแต่ต้นจนจบสีหน้าไม่มีความผิดปกติเลย ล้วนคลั่งไคล้อยู่ตลอด เมื่อได้ยินคำดังนั้น ก็ถอยไปอย่างเคารพนบนอบ หลังจากที่ถอยไปได้เก้าก้าว ก็ลุกขึ้นจากไป
จากการลอยขึ้นฟ้า ร่างของเขาขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นร่างปกติอยู่บนอสูรผิวแดงสี่ขา นั่งอยู่ตรงนั้น สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไปเช่นนี้เอง ไม่นานนักครึ่งเดือนก็ผ่านพ้นไป
ในครึ่งเดือนนี้ เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ตนนี้ก็รู้ขอบเขตดี ไม่เคยรบกวนสวี่ชิงกับนายกองเลย ในยามที่มาพบบ้างในบางทีก็ล้วนขอพบจากที่ไกลๆ หลังจากที่ได้รับอนุญาตแล้วถึงจะเข้ามาใกล้ๆ
ทุกการกระทำคำพูดล้วนไม่มีความผิดปกติใดๆ เหมือนกับว่ามองพวกเขาสองคนเป็นเผ่าสูงส่งจริงๆ
แต่ว่าในคำพูดเขามักจะถามเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของเผ่าฟ้าทมิฬบางอย่างอย่างเคารพนอบน้อมแต่ก็เฉียบแหลมนัก ทุกครั้งใบหน้าของเขาล้วนแฝงด้วยความคาดหวัง
สวี่ชิงรู้เรื่องพวกนี้ไม่ค่อยมาก จึงไม่ได้เอ่ยปาก ทุกอย่างล้วนให้นายกองรับมือจัดการ
ส่วนนายกองครั้งนี้ก็เห็นได้ชัดว่าทำการบ้านมาเป็นอย่างดี มีความรู้ความเข้าใจในเผ่าฟ้าทมิฬเป็นอย่างมาก กระทั่งว่ามีถึงสองครั้งที่ชี้จุดผิดของอีกฝ่าย
“ใครบอกเจ้าว่าเขาเทวะฟ้าทมิฬเอาไว้ทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้กัน นั่นเป็นสถานที่ที่ดอกจันทราบานสะพรั่ง และเคยเป็นสถานที่ที่องค์เทพปรากฏลงมา เป็นสถานที่ตั้งของวังเทวะในตอนนี้
“เมืองเกล็ดวิหคใต้เขาเทวะหรือ น่าเสียดายนัก เมืองนั้นเมื่อหกสิบปีก่อนเสี้ยวหน้าเทพเจ้ามองมา สูญหายไปแล้ว เรื่องนี้โลกภายนอกรู้ไม่มาก”
นายกองไม่ว่าจะเป็นสีหน้าท่าทางหรือน้ำเสียงล้วนเหมือนจริงยิ่งนัก ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนนายกองเคยใช้ชีวิตที่เผ่าฟ้าทมิฬจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น
นี่ทำให้ความคลั่งไคล้ในดวงตาเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หนุ่มคนนี้ยิ่งลุกโชนขึ้นไปอีก
แต่ว่าการหยั่งเชิงของเขาก็ยังไม่สิ้นสุดโดยสิ้นเชิงเสียที มีครั้งหนึ่งในตอนที่แดดตอนเที่ยงรุนแรงแผดเผาที่สุด แม้เขาจะไม่ปรากฏตัว แต่ขนที่บดบังแสงอาทิตย์เปลี่ยนตำแหน่งไปเล็กน้อยจนแทบจะสัมผัสไม่ได้ ทำให้แสงแดดอันแผดเผาสาดมาที่ร่างสวี่ชิง
สวี่ชิงขมวดคิ้ว สะบัดมือเบาๆ ทันใดนั้นขนที่บังแสงอาทิตย์ก็กลับมาที่เดิม
เรื่องเล็กน้อยต่างๆ เช่นนี้ แม้จะไม่ได้บ่อยมาก แต่ทุกครั้งนายกองกับสวี่ชิงล้วนจัดการได้เป็นอย่างดี ดังนั้นครึ่งเดือนหลังจากนั้น การหยั่งเชิงประเภทนี้ในที่สุดก็ไม่เกิดขึ้นอีก
จวบจนกระทั่งวันนี้ ในมณฑลเผชิญคลื่น ขบวนสินค้าของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็เข้าใกล้หุบเขานภาจันทรา
หุบเขานภาจันทรากว้างใหญ่มาก จากความเร็วของขบวนสินค้าข้ามผ่านที่นี่ต้องใช้เวลาสามวันจึงจะพ้นออกไปได้ ออกไปจากหุบเขานภาจันทราอีกหนึ่งอาทิตย์ก็จะถึงชายแดน
เพราะมณฑลเผชิญคลื่นมีชายแดนติดต่อกับมณฑลของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นหลังจากที่ขบวนสินค้ามาถึงที่นี่ ผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็ต่างหายใจหายคอโล่งขึ้นเล็กน้อย ความตึงเครียดก็ผ่อนคลายลงอีกนิด
หลังจากนอนที่นอกหุบเขา เช้าวันที่สอง ขบวนสินค้าก็เหยียบย่างเข้าสู่หุบเขาอย่างยิ่งใหญ่ ตะบึงอย่างกึกก้องเลื่อนลั่นไปในนั้น
จากการเคลื่อนไปข้างหน้าของขบวนรถ เวลาหนึ่งวันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ในยามที่ใกล้จะพลบค่ำ พวกเขาก็เข้าใกล้ช่วงกลางของหุบเขาแล้ว
ที่นี่ขนาบด้วยภูเขาหินตั้งตระหง่านทั้งสองด้าน บดบังแสงอาทิตย์ไปบางส่วน ทำให้หุบเขาดูแล้วค่อนข้างมืดสลัว
ที่ไกลๆ ในถ้ำซ่อนเร้นบนที่สูงแห่งหนึ่ง ตอนนี้มีผู้หญิงสวมชุดแดงคนหนึ่งลืมตาขึ้นมาจากการนั่งสมาธิ เผยให้เห็นแสงประกายวาววับ
ผู้หญิงคนนี้บนหน้าสวมหน้ากากเอาไว้ ข้างกายมีเคียวยมทูตผีร้ายขนาดมหึมาเล่มหนึ่งวางอยู่ เป็นชิงชิวนั่นเอง
นางมาที่นี่ได้ครึ่งเดือนแล้ว เป้าหมายก็คือขบวนสินค้าหินเมฆมารดรที่กลับมาพวกนั้น
ขบวนสินค้าพวกนี้มีเล็กใหญ่ เพื่อไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ดังนั้นชิงชิวจึงปล่อยขบวนสินค้าขนาดเล็กหลายๆ ขบวนไปก่อน เตรียมตัวว่าที่ไม่ลงมือก็แล้วไป แต่หากลงมือขึ้นมาก็จะปล้นขบวนที่ใหญ่ที่สุด
‘มาแล้วๆ!!’ ในยามที่ขบวนสินค้าเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่สวี่ชิงและนายกองอยู่เข้าใกล้พื้นที่นี้ ในสมองของชิงชิวก็มีเสียงของผีร้ายดังขึ้นมาทันที
‘ขบวนสินค้าขบวนนี้เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่เจ้าให้ข้าไปตรวจสอบเมื่อก่อนหน้านี้ พวกมันมาจากรัฐยอดฟ้า เขตปกครองบูรพารกร้าง แม้จะมาจากรัฐเล็กๆ แต่หินเมฆมารดรที่บรรทุกมาครั้งนี้มีจำนวนไม่น้อยเลย’
“เมื่อครู่ข้าลองสัมผัสดู ในนั้นมีผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หลายร้อย ระดับแก่นลมปราณมีไม่มาก ที่แข็งแกร่งที่สุดคือระดับหกวังสวรรค์!”
“พวกมันนี่แหละ หกวังสวรรค์ก็เหมาะที่จะให้พวกเราตายตกไปกับพวกมัน!”
จากเสียงคำรามอย่างกำเริบอวดดีของผีร้าย ประกายเย็นเยือกในดวงตาชิงชิวฉายวาบ ในขณะที่พลังบำเพ็ญในกายโคจร ทั่วทั้งร่างก็แผ่ประกายแสงสีแดงออกมา ภายใต้การสำแดงเคล็ดวิชาลับของตัวเองก็มีระลอกคลื่นกำลังรบหกวังสวรรค์
แม้หลายเดือนนี้ในที่สุดพลังบำเพ็ญของนางก็ทะลวงระดับได้ สร้างวังสวรรค์ได้สี่วังสวรรค์ เมื่อรวมกับเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิและเคล็ดวิชาลับ กำลังรบของนางก็ถึงระดับหกวังสวรรค์
‘จากระดับความเร็วของพวกเขา หลังจากหนึ่งก้านธูปก็จะมาถึงพวกเราตรงนี้!’
เสียงของผีร้ายแฝงด้วยความตื่นเต้นลิงโลด เพียงแต่เห็นได้ชัดเลยว่ามันสัมผัสถึงนายกองกับสวี่ชิงหลังจากที่ทำการอำพรางไม่ได้ และชิงชิงไม่ว่าจะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าพวกเขาทั้งสองจะอยู่ในขบวนสินค้า
ดังนั้นนางจึงเลียริมฝีปาก ประกายเย็นเยือกในดวงตายิ่งรุนแรง รอคอยเงียบๆ
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา