เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 50

บทที่ 50 ยอดเขาที่เจ็ด

เพียงแต่ ภาพม่านตาที่ลืมขึ้นของเสี้ยวหน้าเทพเจ้าบนท้องฟ้าเป็นรูปกางเขน

แต่ดวงตามายาดวงนี้เป็นขีดตั้ง

ส่วนอานุภาพที่สำแดงออกมาก็ยิ่งแตกต่างกันราวดวงตะวันกับหิ่งห้อย อย่างแรกทำให้พื้นที่แถบหนึ่งกลายพันธุ์กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามได้ในทันที ส่วนอย่างหลังทำได้แค่สำแดงอานุภาพสยบ สั่นคลอนจิตใจก็เท่านั้น

แน่นอนว่านี่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ว่าสิ่งที่สร้างดวงตามายาดวงนี้เป็นเพียงเลือดที่ถูกทำให้เจือจางไปแล้วไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ลองคิดดูว่าหากเป็นเลือดบริสุทธิ์พลังคงน่ากลัวยิ่งกว่านี้

แต่ไม่ว่าอย่างไร ต่อให้ดวงตาของจริงปรากฏขึ้น ทว่าเมื่อเทียบกับเสี้ยวหน้าเทพเจ้าแล้วก็ยังคงห่างชั้นกันราวฟ้ากับเหว

ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ความสั่นสะเทือนที่นำมาให้สวี่ชิงก็ยังคงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ร่างกายเป็นเพียงแค่ด้านหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่ทำให้จิตใจของเขาเกิดระลอกคลื่นอารมณ์ก็คือเรื่องนี้ทำลายความเข้าใจของเขาจนหมดสิ้น

“หรือสำนักเจ็ดเนตรโลหิตจะสามารถนำเลือดเนื้อจากร่างเทพเจ้าออกมาได้

“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้…ทั้งสองอย่างให้ความรู้สึกเหมือนกัน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่อย่างเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นก็คงยังมีสิ่งที่คล้ายกับเทพเจ้าบนโลกนี้กระมัง”

การคาดเดานี้ทำให้ลมหายใจของสวี่ชิงถี่กระชั้นขึ้น เขาจ้องดวงตามายาบนหินอัคนีเขม็ง ในใจเกิดความปรารถนาอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกใบนี้อย่างแรงกล้า

ในขณะเดียวกันนี้ คนมากมายบนลานทยอยกระอักเลือดตามเสียงกึกก้องของพลังอำนาจกดดัน คนกว่าครึ่งร่างโซเซใกล้จะทรุดฮวบเต็มที อดทนต่อไปไม่ไหว ผู้บำเพ็ญหน้ายาวจึงโบกมือส่งออกไป

ไม่นานนักคนที่ยังคงสามารถยืนหยัดต่อไปได้ก็เหลือเพียงแค่สามคน

โจวเผิงไม่เป็นหนึ่งในนั้นแล้ว ในสามคนนี้มีหลี่จื่อเหมยและผู้เยาว์ที่หน้าตาไม่โดดเด่นคนหนึ่ง ผู้เยาว์คนนั้นแม้เสื้อผ้าอาภรณ์จะไม่เหมือนกับคนเก็บกวาด แต่ก็เรียบง่ายมาก เห็นได้ชัดว่ามาจากเมืองเล็กๆ

ตอนนี้ยืนหยัดมาถึงขีดจำกัดแล้วอย่างชัดเจน ไม่นานก็มีเลือดไหลออกมา จึงจำใจยอมแพ้ จากนั้นก็เป็นหลี่จื่อเหมย

ส่วนคนสุดท้ายในบรรดาคนทั้งสามย่อมเป็นสวี่ชิงนั่นเอง

พลังเจตจำนงสามารถแกล้งแสดงได้

แต่ครั้งนี้ ต่อหน้าความเย็นชาที่คล้ายเทพเจ้าแบบนี้ สวี่ชิงไม่อยากแกล้งแสดง

เขาไม่อยากสยบให้กับอีกฝ่ายตามสัญชาตญาณ

ดังนั้นเขาจึงจ้องดวงตามายาดวงนั้น ทั้งร่างเกร็งขึง หัวใจเต้นรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ต่อต้านดวงตานั่นพร้อมด้วยเจตจำนงของตนเอง

“ข้าสามารถดิ้นรนรอดชีวิตมาได้ภายใต้การจ้องมองของเสี้ยวหน้าเทพเจ้า พลังกดดันที่เกิดจากเลือดที่ถูกทำให้เจือจางมานับไม่ถ้วนเพียงหยดเดียวในตอนนี้จะสยบข้าได้อย่างไร!”

ดวงตาทั้งสองของสวี่ชิงค่อยๆ มีเส้นเลือดปรากฏขึ้น ร่างของเขาสั่นสะท้าน เลือดเนื้อทั่วทั้งร่างตอนนี้เหมือนกำลังกรีดร้อง แต่เจตจำนงอันแข็งแกร่งที่เกิดจากการฝึกฝนที่ถ้ำยาจกและในป่าพื้นที่ต้องห้ามของเขาสะกดมันไว้ และควบคุมได้อย่างมั่นคง

และในตอนนี้ ทั่วทั้งลานก็เหลือเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังต่อต้านอยู่ ภาพนี้ทำให้จิตใจของผู้เข้ารับการทดสอบรอบๆ สั่นสะท้านบ้าคลั่ง ต่างมองมายังสวี่ชิงอย่างตื่นตะลึง

แม้แต่สายตาของผู้บำเพ็ญวัยกลางคนหน้ายาวและผู้บำเพ็ญอีกสองคนที่เหลือยังต่างมองมาที่สวี่ชิง สีหน้าฉายแววตกใจ

เพราะสวี่ชิงยืนหยัดมาได้นานมากแล้ว

และในการทดสอบของปีนี้ที่ดำเนินมาหนึ่งเดือนจนถึงปัจจุบัน คนที่ยืนหยัดได้นานขนาดสวี่ชิง…มีแค่สามคนเท่านั้น

“ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะทนการปะทุระลอกสุดท้ายได้หรือไม่”

“การทดสอบของปีนี้ยังไม่มีใครสำเร็จด่านนี้เลย”

ในขณะที่ผู้บำเพ็ญทั้งสามส่งกระแสจิตหากัน ของเหลวสีทองบนหินอัคนีก็หายไปแล้วกว่าครึ่ง แต่…ในเสี้ยวขณะที่มันใกล้จะหายไปจนหมด ดวงตามายาที่ปรากฏอยู่บนนั้นจู่ๆ ก็ขยับสายตาเปลี่ยนจากกวาดไปทั่วมาจับจ้องสวี่ชิง

พลังอำนาจกดดันที่น่ากลัวยิ่งกว่าแผ่กดดันมายังร่างกายสวี่ชิงทั้งหมดในตอนนี้ เหมือนเป็นพลังสะกดมหาศาลที่เทพเจ้าต้องการให้สรรพสิ่งสยบศิโรราบ

สวี่ชิงสั่นสะท้านรุนแรงไปทั้งตัว ค่อยๆ ก้มศีรษะลงมาเหมือนถูกภูเขากดทับ

ภาพนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญสามคนนั้นต่างสีหน้าเคร่งเครียด มองอย่างละเอียด

แต่ในขณะที่ก้มศีรษะลง ร่างของสวี่ชิงสั่นสะท้านหนักกว่าเดิม สุดท้ายก็ค่อยๆ เงยขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เส้นเลือดที่หน้าผากปูดโปน ในดวงตาสีเลือดฉายความเย็นเยียบราวหมาป่าออกมา แฝงความไม่ยอมศิโรราบ

ในพริบตาที่มองไปยังดวงตามายา การฝึกกายาของเคล็ดวิชาคีรีสมุทรขั้นที่เจ็ดก็ปะทุขึ้นมาในร่าง ณ เสี้ยวขณะนี้เอง มันปรากฏขึ้นที่ข้างหลังเขาอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ก่อเป็นเงาขุยดำทะมึน

เงานี้ร่างสูงหลายจั้ง ทั่วทั้งร่างดำสนิท หัวมีเขาขดโค้งเป็นก้นหอยสองข้าง ดวงตาสีม่วง ปากเหี้ยมโหดน่าสยดสยองพลันอ้าออก คำรามไร้เสียงไปทางดวงตามายา

โฮก!!

สวี่ชิงคำรามเสียงต่ำเช่นกัน ปะทะกับดวงตามายาบนหินอัคนีอย่างไร้รูปร่างในเสี้ยวขณะนี้

เสี้ยวพริบตาต่อมา ร่างทั้งร่างของเขาก็พลันสั่นสะท้าน เหมือนถูกค้อนหนักๆ ทุบเข้ามาในศีรษะ ขณะที่เลือดกระอักพ่น เงาขุยข้างหลังก็สลายไป แต่ดวงตามายาบนหินอัคนีก็รางเลือนไปในทันทีเช่นเดียวกัน สุดท้ายแล้วก็สลายหายไป

ทุกอย่างสิ้นสุดลง

สวี่ชิงหายใจหอบถี่ ฝืนอาการปวดศีรษะ ครู่หนึ่งก็ฝืนหยัดยืนขึ้นมา เช็ดเลือดมุมปาก กำหมัดประสานมือไปทางผู้บำเพ็ญทั้งสามที่ในดวงตาแฝงความหมายล้ำลึกแล้วหมุนตัวเดินลงไปจากสนามเงียบๆ

คนที่ฝืนทนไม่ไหวรอบๆ สนามต่างมองสวี่ชิงเหมือนมองสัตว์ประหลาด ใบหน้าของทุกคนล้วนฉายแววไม่อยากจะเชื่อและความหวาดกลัว

“เลือดลม…เลือดลมหลอมเป็นเงา นี่เป็นฝึกกายาขั้นบริบูรณ์เท่านั้นจึงจะปรากฏออกมาให้เห็น เทียบได้กับระดับรวมปราณสมบูรณ์!” ไม่รู้ว่าใครส่งเสียงไม่แน่ใจออกมาดังสะท้อนก้อง

เสี้ยวพริบตาต่อมาเสียงสูดลมหายใจก็ดังขึ้นเป็นระลอกคลื่น

มีแค่สวี่ชิงที่ยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น หลับตา สัมผัสได้ว่าความเจ็บปวดในหัวตอนนี้กำลังค่อยๆ หายไป คล้ายว่ามีการรับรู้ที่แข็งแกร่งขึ้นบางอย่างกำลังถือกำเนิดขึ้น

เหมือนกับการตีเหล็กที่หลังจากผ่านการตีการทุบมาเป็นร้อยเป็นพันครั้งก็จะเผยประกายคมออกมา

ความจริงแล้วการทดสอบด่านที่สอง…ก็เป็นเช่นนั้น แฝงวาสนาไว้ในนั้นด้วย เพียงแต่คนที่จะได้รับช่างหาได้ยากนัก

นี่ทำให้สวี่ชิงอึ้งตะลึง หลังจากที่ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วเขาก็พบว่าการรับรู้ของตัวเองเหมือนจะเฉียบคมขึ้นกว่าแต่ก่อนมากจริงๆ เหมือนว่าจิตเจตจำนงจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่อย่างหลังเขาไม่มีวิธีพิสูจน์ แต่รู้สึกว่าไม่เลว

“ดีมาก!”

บทที่ 50 ยอดเขาที่เจ็ด 1

บทที่ 50 ยอดเขาที่เจ็ด 2

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา