บทที่ 501 ครึ่งก้าวเตรียมสู่เทวะ! (1)
……….
สวี่ชิงไม่ได้เร่งรัด หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นวิญญาณสวรรค์กับวิญญาณปฐพีตอบกลับ เขาก็ไม่พูดอะไรมาก ทิ้งไว้แค่ประโยคเดียว
“เทพวิญญาณทั้งสองไตร่ตรองอีกสักพักเถิด ช่วงสายัณห์คืนนี้ บนเขาชมสมุทรนอกพันธมิตรแปดสำนัก ข้าสวี่ชิงจะรออยู่ที่นั่น”
สวี่ชิงพูดจบ ก็สื่อจิตเทพไปหาชิงฉิน ชิงฉินเรอออกมา เงยหน้าร้องแกว๊ก กระพือปีกรุนแรง ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
หมอกเมฆบนท้องฟ้าเคลื่อนตัวมาปกคลุมรอบตัวชิงฉิน ขณะที่เคลื่อนคล้อยก็กลายเป็นเมฆดำ ก่อสายอัสนีนับไม่ถ้วน ไม่นานท่ามกลางเสียงครืนครัน ชิงฉินก็พุ่งออกไป หมอกเมฆแตกซ่าน ร่างใหญ่โตของชิงฉินก็พุ่งหวีดหวิวไปทางเขาจักรพรรดิภูต
หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ก็เห็นเขาจักรพรรดิภูตไกลๆ
เขาที่แปรมาจากจักรพรรดิภูตคีรีนั่งขัดสมาธิ พลานุภาพไม่ธรรมดา แม้ว่าร่างกายจะเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าที่แห้งเหี่ยว ปกคลุมด้วยเสื้อผ้าผืนพสุธาไว้ชั้นหนึ่ง แต่ยังคงยากจะปิดบังชุดเกราะที่โหดเหี้ยมรวมถึงดาบสองเล่มนั้นที่แผ่ปราณพิฆาตเข้มข้นออกมาได้
มันนั่งอยู่ตรงนั้น หันหน้าไปทางทะเลต้องห้าม ก้มหน้าลงเล็กน้อย ราวกับกำลังเฝ้ารอ…
จ้องมองร่างภูเขาที่ใหญ่โต ในใจสวี่ชิงก็เกิดระลอกคลื่นโหมกระหน่ำ
ตอนแรกที่เขามาสัมผัสรับรู้ที่นี่พร้อมกับนายท่านเจ็ด ก็ยังไม่เห็นเจ็ดวิญญาณของเขาจักรพรรดิภูตเลย แค่ไปพักในหมู่บ้านตรงตีนเขาเท่านั้น
ตอนนี้เมื่อได้กลับมาอีกครั้ง จ้องมองเขาจักรพรรดิภูต วังจักรพรรดิภูตในร่างกายสวี่ชิงก็สั่นไหวเล็กน้อย
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ดวงตาเผยประกาย บีบเมล็ดยันต์ปีศาจจนแตกละเอียด เงาจักรพรรดิภูตด้านหลังเขาก็จำแลงออกมาจากการที่ชิงฉินพุ่งหวีดหวิวเข้าใกล้
ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมโหมเมฆทะลัก
มองไกลๆ จักรพรรดิภูตคีรีสององค์ หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก หนึ่งแท้จริงอีกหนึ่งมายา ราวกับกำลังจดจ้องกัน
เสียงคำรามดังออกมาจากในเขาจักรพรรดิภูตที่แท้จริงในตอนนี้ ขณะที่แฝงพลานุภาพเอาไว้ ควันดำเจ็ดสายก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากโลกใบใหญ่สองใบที่อยู่บนบ่าของจักรพรรดิภูตคีรี
ทุกสายหนาขนาดร้อยจั้ง ขณะที่น่าตื่นตะลึงก็แผ่ระลอกคลื่นน่ากลัวออกมา แปลงเป็นใบหน้าที่ก่อขึ้นจากหมอกควันขนาดยักษ์เจ็ดดวงบนท้องฟ้า จ้องมองลงมายังพื้นดิน
หน้าตาแตกต่างกัน มีทั้งคนทั้งสัตว์ มีทั้งชายทั้งหญิง มีทั้งแก่ชราทั้งหนุ่มสาว โดยเฉพาะใบหน้าตรงกลางที่คล้ายคลึงกับจักรพรรดิภูตคีรีมาก
การปรากฏตัวของพวกมัน บิดม้วนมิติรอบๆ ท้องฟ้าที่สดใสในตอนนี้แปรเปลี่ยนไปเป็นมืดมิด ความรู้สึกกดดันประทับลงมาเป็นระลอก
เจตจำนงโหดเหี้ยมอำมหิตบนใบหน้าของพวกมันยิ่งเข้มข้นขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงของสีท้องฟ้า มองมาทางสวี่ชิงอย่างไม่เป็นมิตร
ขณะเดียวกัน ยังมีเงาภูตอีกหลายร่าง ที่ลอยออกมาจากโลกใบใหญ่ทั้งสองที่จักรพรรดิภูตคีรีแบกไว้ กระจายไปทั่วทิศ ในบรรดานี้ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยผีร้าย แต่ยังมีสิ่งประหลาดอยู่อีกมากมาย
พวกมันเป็นตัวตนชั่วร้ายที่ถือกำเนิดหลังจากโลกใบใหญ่จักรพรรดิภูตคีรีล่มสลาย
เวลานี้ปกคลุมฟ้าดิน คล้ายกับเปิดประตูภูต ผีร้ายนับไม่ถ้วนมาเยือน
แต่สิ่งเหล่านี้สำหรับชิงฉินแล้วไม่นับว่าเป็นอะไรเลย กระทั่งหลังจากมันมอง หัวทั้งสามก็ทำท่าทีสนใจ เหมือนอยากจะลองชิมรสชาติของผีร้ายดู
สวี่ชิงยืนอยู่บนหัวด้านขวาของชิงฉิน มองใบหน้าหมอกควันขนาดยักษ์ทั้งเจ็ดนั้นอยู่ห่างๆ สีหน้าเรียบสงบ เอ่ยว่า
“ข้าเจรจากับศัสตราวิญญาณรวมถึงวิญญาณปฐพีและวิญญาณสวรรค์แล้ว จะไม่เอ่ยถึงรายละเอียดอีก เจ้าก็น่าจะรู้อยู่แล้ว
“วันนี้ช่วงสายัณห์ บนเขาชมสมุทรนอกพันธมิตรแปดสำนัก ข้าสวี่ชิงจะรออยู่ที่นั่น”
สวี่ชิงพูดจบก็ประสานหมัดคารวะ จากนั้นก็จากไป
อันที่จริงเขาไม่ต้องมาที่นี่ก็ได้ ถึงอย่างไรสามจิตเจ็ดวิญญาณก็เป็นขั้วอำนาจสองฝ่าย ทว่าที่สุดแล้วก็ยังมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน สวี่ชิงไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่สังเกตเห็นตอนที่ตนอยู่ที่เขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา
ทว่าบางครั้ง ต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจสิ่งที่ตนต้องการ แต่ก็ยังต้องแสดงท่าทีอยู่
และขณะที่สวี่ชิงหันหลังจะจากไป ในบรรดาใบหน้าทั้งเจ็ดของเขาจักรพรรดิภูต จู่ๆ วิญญาณตนที่หนึ่งที่หน้าตาเหมือนกับจักรพรรดิภูตคีรีก็เอ่ยขึ้น ส่งเสียงทัณฑ์สวรรค์ดังกึกก้อง
“ข้าขอดูวิถีสวรรค์ของเจ้าหน่อย!”
สวี่ชิงชะงัก
เขาหันหน้าไปมองวิญญาณตนที่หนึ่ง ยกมือขวาขึ้นโบกกลางท้องฟ้า ฉับพลันม่านฟ้าดำทมึนก็มีเสียงคำรามดังมาเป็นระลอก
เมฆหมอกราวกับกลายเป็นมหาสมุทร อสูรสมุทรบรรพกาลกระโจนออกมาจากด้านใน รยางค์สีแดงยาวลู่ลงมา ปลิวพลิ้วตามการเคลื่นไหว ขณะที่พลานุภาพน่าตกตะลึง กลิ่นอายของวิถีสวรรค์ก็แผ่ออกมาอย่างชัดเจนจากอสูรสมุทรบรรพกาล
เจ็ดวิญญาณเงียบนิ่ง
สวี่ชิงรออยู่ครู่หนึ่งก็เรียกอสูรสมุทรบรรพกาลกลับไป จากนั้นประสานหมัดไปทางหัวตรงกลางของชิงฉิน ชิงฉินเข้าใจความหมายของสวี่ชิง ร้องแกว๊กขึ้นมา พาสวี่ชิงบินวนรอบเขาจักรพรรดิภูตรอบหนึ่ง กระพือปีก แล้วทะยานไปไกล
จากการไหลผ่านของเวลา ก็ค่อยๆ พลบค่ำ
ช่วงสายัณห์ของวันนี้ ไม่มีแสงสีแดง ท้องฟ้าเป็นสีเหลืองราวกับเทียนไขทั้งผืน ราวกับเป็นคนแก่ที่โรยรา กำลังอาลัยอาวรณ์โลกมนุษย์ ไม่อยากจะตายจากไป
ดังนั้นแสงสายัณห์นี้จึงมีสีพลบค่ำแฝงอยู่ด้วย ขณะที่ทอดลงมาบนเขาชมสมุทรด้านนอกพันธมิตรแปดสำนัก ก็เปลี่ยนเป็นขมุกขมัว
สวี่ชิงยืนอยู่บนยอดเขา ด้านขวาของเขาคือพันธมิตรแปดสำนัก ที่นั่นเปิดค่ายกลคุ้มกันไว้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังประกาศใช้กฎอัยการศึกรอบด้านเพื่อป้องกันผนึกแดนต้องห้ามมรณะล้มเหลว ตอนนี้จึงอยู่ในสภาพกึ่งปิด
ของวิเศษเวทต้องห้ามของสำนักต่างๆ ก็เปิดใช้งานกลางอากาศทั้งหมดนานแล้ว สาดแสงเจิดจ้าสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเป็นระยะ พุ่งไปทางส่วนลึกของทะเลต้องห้าม
เบื้องหน้าเขาคือทะเลต้องห้ามสีดำ
คลื่นทะเลตีเกลียว ซัดหินด้านล่างเป็นระลอกจนกลายเป็นฟองคลื่นสีน้ำตาล กองรวมกันที่ชายทะเล เมื่อสลายไปส่วนหนึ่ง ก็เกิดใหม่อีกส่วนหนึ่ง
ไอพลังประหลาดที่มาจากทะเลต้องห้ามก็แผ่เข้ามาอย่างต่อเนื่องในขณะที่ฟองคลื่นสีน้ำตาลนี้สลายไป โจมตีทุกด้าน
‘แดนต้องห้ามมรณะอยู่ที่นั่น’ สวี่ชิงเงยหน้า มองส่วนลึกของทะเลต้องห้าม พึมพำในใจ
เขากำลังรอ
สีท้องฟ้าค่อยๆ จางหายไป แสงสายัณห์ค่อยๆ เข้มขึ้น ความมืดกำลังกลืนกินแสงสว่างอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งสีดำระหว่างฟ้าดินปกคลุมทุกสรรพสิ่ง จู่ๆ ร่างเงาขนาดยักษ์ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นกลางฟากฟ้า
ร่างกายผอมแห้ง ศีรษะที่โหดเหี้ยมอำมหิต เนื้องอกที่ปูดนูนออกมาราวกับคนหลังค่อม ผู้ที่มาเยือนคือเทพวิญญาณเจวี๋ยหยาง!



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา