บทที่ 52 สหาย
แสงตะวันยามเย็นเวลานี้ ใกล้โพล้เพล้เข้าทุกที
แสงสลัวสาดทอมายังถนนเล็กในเขาค่อยๆ หม่นลงทุกที
สวี่ชิงสะพายกล่องผ้าไหม จ้องมองสีท้องฟ้า ในหัวคิดถึงคำพูดของผู้บำเพ็ญใบหน้ากลม และเข้าใจเมืองเจ็ดเนตรโลหิตแห่งนี้อย่างชัดเจนแล้ว
เขารู้ว่าเมืองหลักนี้ดูเหมือนจะมีระบบระเบียบ แต่อันที่จริงกลับซ่อนอันตรายมหาศาลไว้ โดยเฉพาะตอนกลางคืน ความชั่วร้ายที่มาจากรอบทิศรุนแรงยิ่งขึ้น มักจะมีคนเลือกแยกเขี้ยวใส่คนรอบข้างเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเสมอ
เรื่องนี้ไม่มีถูกผิด
แต่สวี่ชิงไม่อยากจะกลายเป็นส่วนช่วยให้ความเป็นอยู่ของคนอื่นดีขึ้น ดังนั้นเขาจึงลูบกล่องผ้าไหมด้านหลัง เตรียมหามุมมืดที่ไม่มีคนสังเกตเห็น เก็บมันลงไปในถุงเก็บของของตนเอง
ดังนั้นจึงรีบเร่งก้าวเดิน
ไม่นานนัก เขาก็ลงมาจากถนนบนภูเขา เห็นเงาคนสองคนที่เปลี่ยนเป็นชุดนักพรตสีเทาแล้วเรียบร้อยที่ตีนเขา
หนึ่งชายหนึ่งหญิง โจวชิงเผิงกับสวี่เสี่ยวฮุ่ยนั่นเอง
สวี่เสี่ยวฮุ่ยรูปร่างหน้าตาสะสวย ถึงแม้ชุดนักพรตจะซ่อนรูปร่างสะโอดสะองของนางไว้ แต่ไม่ว่าจะหน้าอกหรือสะโพกก็ยังนูนออกมาเล็กๆ จนทำให้ชุดสีเทาที่อยู่บนตัวนาง มีความยั่วยวนเพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่ง
ส่วนโจวชิงเผิงเดิมทีก็หล่อเหลาอยู่แล้ว เวลานี้สวมชุดนักพรตสีเทาจึงดูสง่างามมาก จนทำให้ในสายตาสวี่เสี่ยวฮุ่ยฉายแววลุ่มหลง
และไม่รู้ว่าสิ่งที่นางลุ่มหลงคือตัวโจวชิงเผิงหรือว่าเรือเวทของเขากันแน่
พอเห็นว่าร่างสวี่ชิงปรากฏขึ้น โจวชิงเผิงก็หัวเราะร่า เดินตรงมาทางสวี่ชิง
“สวี่ชิง ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว ข้ารอเจ้าอยู่พักหนึ่งเลย”
สวี่ชิงสีหน้าปกติ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความระแวดระวัง ไม่เข้าใกล้ เว้นระยะห่างออกมาเจ็ดแปดจั้งเงยหน้ามองคอของโจวชิงเผิง ปล่อยมือขวาไปอยู่ข้างกระเป๋าที่ซ่อนเหล็กแหลมสีดำไว้
“พวกเราล้วนเป็นศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดแล้ว ซ้ำยังเข้าสำนักเป็นกลุ่มเดียวกันด้วย ตอนอยู่ในสำนักพวกเรายังไม่ค่อยคุ้นเคยกัน ดังนั้นข้าเลยคิดว่าพวกเราควรจะสนิทกันไว้หน่อย
“หลังจากนี้ถ้ามีเรื่องอะไร ก็ยังมีเพื่อนเพิ่มอีกคนหนึ่ง มีเส้นสายเพิ่มมาอีกหนึ่งไงล่ะ” ท่าทีของโจวชิงเผิงจริงใจ ประสานหมัดมาทางสวี่ชิง
สวี่ชิงพอได้ยินก็ไม่ลดความระแวดระวังลง แต่เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายพูดมาก็มีเหตุผลอยู่บ้าง จึงพยักหน้าตอบ
ใบหน้าโจวชิงเผิงยังคงมีรอยยิ้ม พูดออกมาอีกไม่กี่ประโยค พอเขาเห็นว่าสวี่ชิงไม่ค่อยชอบพูดคุย หลังจากแลกเปลี่ยนข้อมูลกันห่างๆ จึงบอกลาแล้วเดินจากไปพร้อมสวี่เสี่ยวฮุ่ย
มองเงาของพวกเขาที่เดินจากไป สวี่ชิงก้มหน้าดูมองป้ายฐานะของตนเอง ข้อมูลที่อีกฝ่ายเพิ่งจะแลกเปลี่ยนกัน ก็มีป้ายฐานะนี้เป็นสื่อกลางนั่นเอง
“พูดได้ด้วยหรือ” สวี่ชิงใคร่ครวญอย่างอยากรู้อยากเห็นพักหนึ่ง ถ่ายพลังวิญญาณในร่างกายลงไป ในหัวก็ปรากฏข้อมูลของตนเองในป้ายฐานะขึ้นทันที
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกมหัศจรรย์มาก จึงศึกษาพลางเดินไปด้วย
ตอนที่เดินเข้าเมือง เขาหามุมๆ หนึ่ง จัดการนำกล่องผ้าไหมที่แบกอยู่ใส่เข้าไปในถุงเก็บของ โดยยังคงอยู่ในชุดขนสัตว์มอมแมมตัวนั้นไม่เปลี่ยนเป็นชุดนักพรตสีเทา
ถ้าหากเป็นช่วงกลางวัน ในเมืองหลักที่สะอาดสะอ้านนี้ การแต่งตัวเป็นคนเก็บกวาดเช่นเขาจะสะดุดตาอย่างมาก ทว่าตอนนี้เป็นช่วงกลางคืนเหมาะให้เขาซ่อนตัว ดังนั้นเขาคิดว่าการแต่งตัวเช่นนี้สามารถหลบเลี่ยงความวุ่นวายที่ตนเองแก้ไขไม่ได้เช่นกัน
ถึงอย่างไรคนเก็บกวาดส่วนใหญ่ก็ยากจน คนที่จะเพ่งเล็งมาที่เขาคงไม่ใช่คนแข็งแกร่งอะไรนักแน่นอน ดังนั้นเขายังพอจัดการไหว
ขณะเดียวกันเขาก็ศึกษาวิธีใช้ป้ายฐานะ รู้ว่าส่งกระแสเสียงอย่างไรเรียบร้อยแล้ว และเห็นว่าในข้อมูลตนเองด้านใน ทำเครื่องหมายหน่วยงานที่เขาต้องไปรับหน้าที่ด้วย
“กรมปราบพิฆาต?” สวี่ชิงงึมงำ แม้จะไม่เข้าใจหน้าที่ของกรมที่ได้รับมอบหมายมา แต่จากตัวหนังสือก็พอเดาได้ว่ากรมนี้…เหมือนจะโหดร้ายและอันตรายมาก
ส่วนเรื่องเวลารายงานตัว ในข้อมูลกำหนดว่าเป็นพรุ่งนี้ ขณะเดียวกันในป้ายฐานะ ก็ยังมีตำแหน่งจุดจอดเรืออูเผิงอีกด้วย
สำหรับศิษย์ที่มีเรือเวท สำนักจะแบ่งจุดจอดเรือไว้ให้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเว้นค่าเช่าให้หนึ่งเดือนอีกด้วย หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนก็จะเก็บค่าใช้จ่ายราคาสามหมื่นแต้มอุทิศต่อเดือน หรือก็คือหินวิญญาณสามสิบก้อน หากไม่จ่ายก็จะถูกยกเลิกจุดจอดเรือ
“ท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้าหมายเลขสามสิบสาม?” สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นมองไปทางมหาสมุทร ร่างไหววูบในความมืด ทะยานตรงไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยอย่างระมัดระวัง
และเวลาก็ไหลผ่านเช่นนี้ เพียงไม่นานยามเย็นก็ผ่านไป ม่านราตรีเข้ามาเยือน
บ้านเรือนนับพันในเมือง พากันปิดประตู เสียงโหวกเหวกในช่วงกลางวันตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นเงียบงัน
และราตรีนี้ปกคลุมสวี่ชิงจนมิด ดวงตาเขาค่อยๆ หรี่ลง เร่งฝีเท้าขึ้น และค่อยๆ สังเกตความโหดร้ายยามราตรีในเมืองนี้
เขาเห็นการสังหาร เห็นคนเอาชีวิตรอด เห็นความเย็นชาของการล่าสังหาร และยังเห็นการปล้นชิง
สำหรับเรื่องนี้ สวี่ชิงในความมืดเพียงกวาดตามองก็ถอนสายตากลับ ไม่เข้าไปร่วม เร่งเดินทางต่อ
เงาของเขายามราตรีราวกับเป็นเงาภูตผี
นอกจากนี้เขายังเห็นบ่อนพนันและซ่องโสเภณีบางส่วนอีกด้วย ไฟที่นั่นยังส่องสว่างไสว เผยให้เห็นความวุ่นวายอีกด้านของเมือง
บางทีน่าจะเพราะสวี่ชิงเพิ่มความระมัดระวังและการซ่อนเร้นมากขึ้น ดังนั้นตลอดทางจึงไม่พบคนเข้ามาโจมตีเขาเลย
แต่บางครั้งก็ยังสัมผัสได้ถึงสายตามาจากความมืดที่แฝงความเย็นชากับความชั่วร้ายไว้ด้วย แต่พอสังเกตเห็นว่าเขาแต่งตัวเป็นคนเก็บกวาด ส่วนใหญ่จึงเลือกไม่สนใจราวกับเขาไม่มีตัวตน
สวี่ชิงวิ่งทะยานรวดเร็วอย่างเงียบงัน ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม เขาก็เข้าใกล้ท่าเรือมากขึ้นเรื่อยๆ
ท่าเรือที่นี่มีอยู่ร้อยกว่าแห่ง สถานที่ที่สวี่ชิงต้องไปคือท่าเรือสีม่วงท่าที่เจ็ดสิบเก้า
และตอนที่ค้นหา จู่ๆ สีหน้าสวี่ชิงก็กระตุก แอบซ่อนตัวในซอยแห่งหนึ่ง มองตรงไปเบื้องหน้า
เสียงฝีเท้ากับเสียงหวีดหวิวมากมายเข้ามาใกล้ เพียงไม่นาน ผู้บำเพ็ญในชุดนักพรตสีเทากลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตาสวี่ชิง แต่ละคนสีหน้าเย็นชา ทั้งร่างเผยกลิ่นอายเย็นเยียบ กำลังทะยานตัวอย่างรวดเร็ว
บางคนอยู่บนถนน บางคนก็อยู่บนสิ่งปลูกสร้างรอบๆ เหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
บนชุดนักพรตของพวกเขาติดตราชิ้นหนึ่งอยู่ ด้านบนมีอักษรสีเลือดตัวหนึ่ง
ฉากนี้ทำให้สวี่ชิงหรี่ตาลง เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณบนตัวของศิษย์ของเจ็ดเนตรโลหิตเหล่านี้ ด้านในมีปราณสังหารแผ่ซ่านอยู่มหาศาล
“กรมปราบพิฆาต?” สวี่ชิงเดา

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา