บทที่ 53 ฝึกบำเพ็ญด้วยท้องทะเล
แสงจันทร์สาดส่องลงมา กลายเป็นแสงจันทร์ปกคลุมจระเข้ยักษ์ชั้นหนึ่ง มองไกลๆ ราวกับเรือลำนี้มีชีวิต กำลังอาบแสงจันทร์บริสุทธิ์ ราวกับโคจรพลังอย่างไรอย่างนั้น
ทำให้มันซึมซับแสงจันทร์ที่เข้มข้นยิ่ง ประกายเย็นเยียบก็แผ่ซ่านท่ามกลางแสงพร่างพราว
สวี่ชิ่งเพ่งมองอยู่นาน
ไม่ว่าจะชีวิตในถ้ำยาจกหรือว่าในฐานที่มั่นคนเก็บกวาด นอกจากบ้านใหม่ที่หัวหน้าเหลยมอบให้เขา สถานที่ที่เขาพักส่วนใหญ่ล้วนเรียบง่ายทั้งสิ้น
และเรืออูเผิงที่เหมือนจระเข้ลำนี้ เผยความฮึกเหิมวูบหนึ่งออกมาภายใต้ความสะอาดบริสุทธิ์ของแสงจันทร์ จนทำให้สวี่ชิงต้องคุกเข่าลงอย่างอดไม่อยู่ ยกมือขึ้นลูบ
เย็นเยียบ วัสดุที่ทำก็แข็งมาก
ที่สำคัญที่สุดคือ…
“นี่เป็นของข้า” สวี่ชิงเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ เมื่อคิดจะเหยียบขึ้นไป แต่ก็หยุดลง ในดวงตามีประกายสว่างวาบขึ้น เขาสัมผัสได้ว่ารอบๆ มีสายตาที่มีเจตนาชั่วร้ายอยู่รางๆ กำลังจ้องมาที่ตนเอง
แต่อีกฝ่ายก็ซ่อนตัวได้เป็นอย่างดี สวี่ชิงหาไม่พบในทันที เขาจึงเก็บประกายเย็นชาในดวงตา ทำจิตใจให้สงบนิ่ง จงใจก้มหน้าลงมองรองเท้าของตนเอง
รองเท้าสานเก่าๆ มีดินโคลนและเลือดที่แห้งกรังมากมายเปื้อนอยู่ ยังมองเห็นนิ้วเท้าที่สกปรกมอมแมมของเขาจากในร่องอีกด้วย
สวี่ชิงนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง ถอดรองเท้าของตนเองออก จ้องมองสองเท้าที่สกปรกของตนเอง แล้วนั่งลงหย่อนเท้าไปในน้ำทะเลด้านข้าง ชะล้างสองเท้าจนเผยผิวหนังขาวนวลออกมา
ดูเหมือนเขาสงบนิ่งมากในขั้นตอนทั้งหมด แต่ก็ยังลอบสังเกตรอบด้านอยู่ รอให้คนที่มีสายตาชั่วร้ายนั่นปรากฏตัว เพียงแต่อีกฝ่ายก็ระมัดระวังอย่างมาก ต่อให้สวี่ชิงนั่งลงแล้วเผยความเกียจคร้านตรงนั้น คนผู้นี้ก็ยังไม่ยอมปรากฏตัว
สีหน้าสวี่ชิงปกติ ลุกขึ้นเหยียบไปบนเรือ กวาดตามองอูเผิงผาดหนึ่ง
พื้นที่ในอูเผิงไม่ใหญ่นัก ด้านในเรียบง่าย มีเพียงเตียง เบาะกลม และที่ล้างมือล้างหน้า
หลังคาอูเผิงก็ต่ำไปหน่อย คนปกติอยู่ด้านในไม่สามารถยืนหลังตรงได้ แต่ถ้านั่งลงก็ยังพอสบายอยู่
หลังจากสวี่ชิงกวาดตามองรอบหนึ่ง ยังไม่ได้เดินเข้าไปในทันที แต่นั่งอยู่บนหัวเรืออูเผิง ฟังคลื่นทะเลที่ชัดเจนด้านนอก สัมผัสเรือเล็กที่ลอยโคลงเคลงเหนือผืนน้ำ
ดวงตาเขาปรากฏแววล่องลอยในความเงียบงัน คล้ายกับความคิดกำลังล่องลอยไป
สวี่ชิงคิดไปถึงชีวิตที่ดิ้นรนอยู่ในถ้ำยาจกครั้งนั้น คิดถึงตนเองที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำเล็กๆ ข้ามผ่านคืนที่เหน็บหนาวทุกค่ำคืน เขาเหม่อลอยอยู่ในความหนาวเย็นนี้ในหน้าหนาวของทุกปีว่าจะได้พบกับดวงตะวันของเช้าวันใหม่หรือไม่
เพราะหน้าหนาวทุกครั้งล้วนมีคนหนาวตายอยู่เสมอ
ดังนั้น เขาจึงกลัวความหนาว บางทีอาจจะไม่ได้กลัวร่างกายหนาวเย็น แต่เป็นความทรงจำ
สวี่ชิงเวลานี้นั่งเงียบๆ บนเรือ มองไปในความมืดด้านนอก มองจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้า เขาคิดถึงคนแรกสุดที่เขาสังหารเมื่อหลายปีก่อน
คนผู้นั้นคิดจะกินเขา สุดท้ายก็ถูกเขาตัดศีรษะทิ้งอย่างเปลืองแรง แล้ววางไว้ที่ปากถ้ำเล็กของตน นับจากนั้นมา สายตาของทุกคนที่มองเขาก็เปลี่ยนไป
เรือยังคงคลอนไหว
ความคิดในดวงตาของสวี่ชิงเหมือนยังล่องลอยอยู่ แต่ในใจกลับงึมงำ
‘หรือครั้งนี้จะวางไว้อีกซักหัวดี’
พริบตาที่ใจคิด ร่างของสวี่ชิงก็หงายหลังลงฉับพลัน แสงเย็นวูบหนึ่งแฉลบผ่านเบื้องหน้าเขาไป
พริบตาที่เบี่ยงหลบแสงเย็นนั่น ในดวงตาล่องลอยของสวี่ชิงก็หายไป ราวกับทั้งหมดล้วนเป็นภาพลวงตา ความเฉียบขาดที่ซ่อนอยู่ภายในอย่างแท้จริง ตอนนี้ก็ปลดปล่อยออกมาแล้ว!
‘ในที่สุดก็ออกมาเสียที!’
พริบตาต่อมา น้ำทะเลข้างลำเรือก็มีคลื่นน้ำกระเพื่อมขึ้น ร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากในน้ำฉับพลัน ทะยานเข้ามาหาสวี่ชิง แสงเย็นที่คมยิ่งกว่าสว่างวาบขึ้นในมือขวาของเขา
เป็นกริชเล่มหนึ่งmujมีประกายสีน้ำเงินวาบขึ้นใต้แสงจันทร์ เห็นได้ชัดว่าฉาบพิษไว้
และสวี่ชิงก็มองเห็นคนที่เข้ามาใต้แสงจันทร์ เป็นศิษย์ในชุดนักพรตสีเทาคนหนึ่ง ไม่ปิดบังหน้าตา อายุราวสามสิบกว่า มีพลังบำเพ็ญเพียงระดับรวมปราณขั้นห้า แต่ความรู้สึกที่นำมากลับแฝงพลังคุกคามอยู่
สีหน้าของศิษย์คนนี้โหดเหี้ยมมาก ในดวงตามีจิตสังหารแผ่ซ่าน
เข้าประชิดด้วยความเร็ว กริชในมือก็แทงเข้ามาที่หน้าอกของสวี่ชิงอย่างโหดเหี้ยม
ดวงตาสวี่ชิงเย็นชา ไม่มองกริชของอีกฝ่าย มือขวาที่เร็วกว่าคว้าไปที่แขนของคนที่เข้ามา พลิกหมุนทำให้ร่างกายผู้บำเพ็ญที่พุ่งเข้ามาหมุนคว้างฉับพลันด้วยการระเบิดพลังฝึกกายาในร่างกาย
ร่างกายของเขาถูกสวี่ชิงอัดลงไปบนพื้นเรือท่ามกลางความตกตะลึงและความไม่อยากเชื่อของคนผู้นี้
เสียงตูมดังขึ้น จู่ๆ เลือดสดก็พุ่งออกมาจากร่างกายคนผู้นี้เป็นหนวดเลือด ฟาดความเหนอะหนะเข้าใส่สวี่ชิงอย่างรวดเร็ว กลิ่นอายที่แฝงอยู่มากเกินกว่ารวมปราณขั้นห้าเหมือนจะไปถึงขั้นหก
สวี่ชิงหน้าไร้อารมณ์ เงาขุยที่ด้านหลังก็ปรากฏเด่นชัด ซัดเข้าไปตรงๆ
เสียงโครมดังขึ้น หนวดข้างนั้นเป็นอัมพาตไป จากนั้นก็แตกสลาย
พอสูญเสียหนวดไป ผู้บำเพ็ญคนนี้ก็กระอักเลือดสดออกมา หน้าถอดสีทันที คิดจะเอาชีวิตรอด แต่พริบตาต่อมามือซ้ายของสวี่ชิงก็หยิบกริชเล่มหนึ่งพาดบนคอของเขา
กริชเย็นเยียบกรีดลงผิวหนัง ขอแค่ออกแรงเล็กน้อยก็ตัดหลอดลมของเขาขาดได้ทันที
ภาพนี้ทำให้ร่างของผู้บำเพ็ญสั่นเทิ้ม สายตาที่มองไปยังสวี่ชิงเผยความพรั่นพรึงออกมา
“เจ้าอำพรางตัวตนเช่นนี้ได้อย่างไร แล้วก็หนวดบนตัวเจ้าเมื่อครู่คือสิ่งใด” สวี่ชิงเอ่ยออกไป มองผู้บำเพ็ญตรงหน้าอย่างเย็นชา
“นี่คือหนวดมหาสมุทรที่ข้าปลูกถ่ายไว้บนตัว สามารถเพิ่มพลังต่อสู้ให้ข้าได้ และสามารถทำให้ข้าปิดบังกลิ่นอายในท้องทะเลได้ด้วย ในสำนักคนส่วนใหญ่ล้วนทำเช่นนี้ ศิษย์น้อง ข้าคิดหาทางชดเชยที่ลงมือครั้งนี้ได้ เพียงเพราะข้ามีแต้มอุทิศไม่เพียงพอเท่านั้น แต่ข้ารับภารกิจมาแล้ว พรุ่งนี้…” ผู้บำเพ็ญคนนี้รีบร้อนเอ่ยปาก แต่ไม่ทันพูดจบ กริชในมือสวี่ชิงก็กรีดลงฉับพลัน
ผู้บำเพ็ญตาเบิกโพลงทันที ยังไม่ทันส่งเสียงกรีดร้อง ก็ถูกสวี่ชิงอุดปากไว้ ขณะที่ร่างชักกระตุกเลือดสดก็พ่นทะลักจนทำให้เรือเวทแดงฉานไปทั้งลำ
หลังจากผ่านไปหลายอึดใจ ร่างของเขาก็ไม่ขยับเขยื้อน
สวี่ชิงเลิกคิ้วมองเรือเวทที่ถูกทำให้เปรอะเปื้อนเช่นนี้ ล้วงเอาผงสลายศพออกมาสาด จนกระทั่งศพนี้กลายเป็นกองเลือด รอบด้านก็ไม่มีศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดปรากฏออกมาอีก
เหมือนทุกคนชินชาเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
ลมทะเลพัดเข้ามาพากลิ่นคาวทะเลและคาวเลือดฟุ้งแผ่ปกคลุมไปทั่วตัวสวี่ชิง เขาหยิบกระเป๋าของอีกฝ่ายขึ้นมา ด้านในโล่งโจ้ง ไม่มีของมีค่าเลย
“คนผู้นี้เล็งตัวข้า ก็เพราะข้ามีเรือเวท” สวี่ชิงคิดถึงสิ่งที่ผู้บำเพ็ยใบหน้ากลมพูดไว้เมื่อกลางวัน ว่ามีศิษย์หายตัวไปอย่างน่าประหลาดทุกเดือนเสมอ
เขาจึงลูบเหล็กแหลมที่แหลมคมของตนเอง ดวงตาเปล่งประกายเย็นเยียบ จากนั้นก็ดึงตนเองกลับไปยังกล่องผ้าไหม เปิดมันออก ล้วงเอาแผ่นหยกแนะนำเรือด้านในออกมาอ่านอย่างละเอียด
ผ่านไปครู่หนึ่งสวี่ชิงจึงวางแผ่นหยกลง ก้มหน้าลงมองเรือลำนี้ เผยประกายประหลาดใจออกมา
“เรือลำนี้…น่าทึ่งเสียจริง” ระหว่างที่งึมงำ สวี่ชิงทำตามวิธีในแผ่นหยก ยกมือขวาตบลงไปบนกระดานเรือข้างๆ พลังวิญญาณในร่างกายแผ่ซ่าน ทำให้พลังวิญญาณของตนเองแปลงเป็นตราประทับ ประทับลงไปบนตัวเรือ
เรือทั้งลำสั่นสะเทือน ส่งเสียงหวึ่งเบาๆ ออกมาราวกับกลไกบางอย่างถูกเปิดใช้งาน
สวี่ชิงกัดนิ้วตนเอง บีบเลือดออกมาหยดหนึ่ง วาดอักขระง่ายๆ รูปหนึ่งลงไปบนกระดานเรืออย่างตั้งใจ สิ่งที่ตามมาหลังจากวาดอักขระ เรือทั้งลำสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง การเชื่อมต่อลึกลับวูบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในจิตใจสวี่ชิงทันที
นี่คือวิธีทำพันธะสัญญาที่บันทึกไว้ในแผ่นหยก พอเสร็จสิ้นขั้นตอนนี้ สวี่ชิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตนเองกับเรือลำนี้ราวกับหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว
ขณะที่จิตใจเขาสั่นสะเทือน ม่านแสงคุ้มกันวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนเรือลำนี้ หลังจากครอบคลุมไปทั้งลำเรือ ในที่สุดสวี่ชิงก็สัมผัสได้ถึงความปลอดภัยขึ้นมาเสียที
เขาก้มหน้าลงอ่านแผ่นหยกที่เกี่ยวกับเรือลำนี้ต่อ จัดการจดจำเนื้อหาในนั้นซ้ำไปซ้ำมา สลักเอาไว้ในจิตใจ
เรือเวทของเจ็ดเนตรโลหิต แฝงเอาไว้ด้วยการเติบโตขึ้นสูงอย่างแท้จริง
ศิษย์สามารถดูจากทรัพยากรและความชื่นชอบของตนเอง เพิ่มแข็งแกร่งขึ้นต่อเนื่องด้วยความเร็ว การป้องกัน พลังโจมตีรวมไปถึงความเป็นเอกลักษณ์พิเศษสี่ข้อนี้ตามความต้องการของตนเองได้ จะทำให้แข็งแกร่งเพียงด้านเดียว และสามารถพัฒนารอบด้านขึ้นได้ด้วยเช่นกัน
สามสิ่งแรกเข้าใจได้ง่าย แต่เอกลักษณ์พิเศษหมายถึงความสามารถพิเศษที่อยู่นอกเหนือวิชาเวท เช่นทำให้เรือสามารถดำลงไปใต้ทะเล หรือบินบนฟ้าเหนือผิวทะเลได้ หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบที่ค่อยๆ หลุดออกจากความเป็นเรือขึ้นมา
แต่ไม่ว่าจะเป็นเอกลักษณ์พิเศษ หรืออีกสามด้านนั้น สิ่งที่จะตัดสินมันก็มีเพียงจุดเดียว นั่นก็คือวัสดุของตัวเรือ
ปกติแล้ว ศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดเลือกวัสดุทำตัวเรือ จะมีอยู่สองทางเลือก ทางเลือกแรกคือสร้างขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์
การเปลี่ยนแปลงวัสดุให้มีระดับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันสามารถแบกรับค่ายกลที่มีพลานุภาพมากขึ้นได้ นำมายกระดับตัวเรือและทำให้แข็งแกร่งมากขึ้นได้
ทางเลือกนี้ จำเป็นต้องร่วมมือกับการฝึกบำเพ็ญค่ายกลของยอดเขาลำดับสอง ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการพัฒนาของมนุษย์ในอนาคต แต่ยังคงเป็นตัวเลือกแรกของศิษย์ส่วนหนึ่งอยู่


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา