เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 520

บทที่ 520-2 ความจริงของการเปิดแดนต้องห้ามเซียน! (2)

นายท่านเจ็ดทำเรื่องที่มั่นคงมาโดยตลอด จุดนี้สวี่ชิงรู้อยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ยิ่งเห็นด้วย รู้สึกว่าตนได้เรียนรู้อะไรมาเพิ่มอีกเล็กน้อย

นายกองรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล้าคัดค้าน ทว่าจะมากน้อยก็ยังรู้สึกว่าตาแก่คนนี้อายุยิ่งมาก แต่ความกล้าก็ยิ่งน้อยลง

ตอนนี้นำวิชาเซียนออกมา นายท่านเจ็ดไม่ได้หยุดอยู่ที่นี่ พาสวี่ชิงกับนายกองออกไปจากตำหนักวิชาเซียน และจากการออกไปของพวกเขา ท่ามกลางไอพลังประหลาดที่คละคลุ้งของที่นี่ ก็ค่อยๆ มีเลือดเนื้องอกออกมาใหม่

ในพริบตา ใบหน้าเลือดเนื้อที่เคยบิดเบี้ยวอย่างทรมานก็ฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น อ้าปากกว้างเหมือนกำลังกรีดร้องอย่างไร้ซุ่มเสียง

มองใบหน้าเลือดเนื้อ นายท่านเจ็ดเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดมิดที่ราบเรียบราวกับกระจก ครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างช้าเนิบว่า

“คงห่างจากการลืมตื่นของพระจันทร์สีชาดไม่ไกลแล้ว เดาว่าพวกเจ้าทั้งสองคนก็คงไม่กลับไปกองทัพใหญ่อย่างเชื่อฟังแน่ แต่ก็ช่างเถอะ แดนต้องห้ามเซียนยังมีการวาสนามหัศจรรย์อีกมากมาย พวกเจ้าต้องระวังหน่อย อย่าบ้าบิ่นเกินไปนัก

“อาจารย์ต้องแยกตัวไปจัดการบางอย่างก่อน

“เรื่องนี้ หลังจากพวกเจ้าพูดกับข้าครั้งที่แล้ว ข้าก็แอบตรวจสอบมาบ้าง ผนวกกับการวิเคราะห์ ก็พิจารณาและคาดเดาไว้แล้ว”

สวี่ชิงกับนายกองได้ยิน ก็ตั้งใจฟังทันที

โดยเฉพาะสวี่ชิง เขาอยากรู้เบื้องหลังการเปิดแดนต้องห้ามเซียนนี้อย่างมาก อันที่จริงเขาไม่เข้าใจว่าการเปิดที่นี่ในช่วงนี้ ปลุกเทพเจ้าที่หลับใหลป้อนให้กับพระจันทร์สีชาด มีประโยชน์อะไรกับที่นี่

พระจันทร์สีชาดเป็นเทพเจ้าของเผ่าฟ้าทมิฬ และตอนนี้เผ่าฟ้าทมิฬกำลังทำศึกสงครามกับเผ่ามนุษย์ การบวงสรวงพระจันทร์สีชาดในตอนนี้ ความรู้สึกแรกสุดที่สวี่ชิงสัมผัสได้ก็คือแยกจะเอาใจพระจันทร์สีชาด

แต่การทำเช่นนี้มีความหมายอะไรเล่า

ทว่าเพราะความรู้ความเข้าใจที่มี เขาจึงมองแก่นแท้ไม่ออก เบื้องหน้ามีแต่หมอกลวงตาบดบังทุกสิ่งเอาไว้

“การคาดเดาของอาจารย์คืออันใดหรือขอรับ” สวี่ชิงถาม

นายท่านเจ็ดจ้องไปทางใจกลางหมู่ตำหนักวังไกลๆ แววตาฉายแววล้ำลึก เอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า

“เรื่องนี้ น่าจะไม่ใช่การกระทำขององค์ชายเจ็ดคนนั้น แม้เขาจะเป็นบุตรจักรพรรดิ ข้างกายมีผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน กองทัพใหญ่อยู่ในกำมือ ดูเหมือนยิ่งใหญ่ แต่อันที่จริงจักรพรรดิยังอยู่บนบัลลังก์ อีกทั้งยังหนุ่มแน่นกำลังรุ่งโรจน์ ลือกันว่าวิธีการประดุจสายอัสนี มีเจตจำนงยิ่งใหญ่ในใจ ต่อให้สิ่งเหล่านี้เป็นแค่คำพูดปากต่อปาก แต่เรื่องทุกเรื่องล้วนมีมูล อย่างน้อยเผ่ามนุษย์ในตอนนี้ยังห่างไกลจากการแย่งชิงบัลลังก์”

สายตานายท่านเจ็ดล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ

“แต่ว่าองค์ชายเจ็ดคนนี้ก็นิสัยเด็ดขาดโหดเหี้ยม และไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร ผลลัพธ์สุดท้ายคือเขานำข่าวมาคลี่คลายสถานการณ์ที่เผ่าฟ้าทมิฬปิดล้อมเมืองหลวงจักรพรรดิและพวกเผ่าโจรที่ทะลักเข้ามาทั้งแปดทิศได้สำเร็จ ทำให้สถานการณ์เมืองหลวงจักรพรรดิผ่อนคลายลง

“ผลลัพธ์นี้ เป็นประโยชน์สำหรับเผ่ามนุษย์ ต่อให้ระหว่างนี้จะมีการสละชีพ อีกทั้งยังแฝงเงื่อนงำมากมายเอาไว้ แต่ไม่สำคัญ สถานการณ์ใหญ่เป็นเรื่องสำคัญ!

“ทว่า เรื่องทั้งหมดก็มีขีดจำกัดทั้งสิ้น เช่นเรื่องที่แดนต้องห้ามเซียนเกี่ยวข้องกับเทพเจ้า จึงเป็นไปไม่ได้ที่คำพูดเพียงประโยคเดียวขององค์ชายเจ็ดจะตัดสินใจได้ทุกสิ่ง

“ดังนั้น การเปิดแดนต้องห้ามเซียน เป็นคำสั่งของจักรพรรดิมนุษย์ องค์ชายเจ็ดเพียงปฏิบัติตามเท่านั้น!

“เมื่อรู้เช่นนี้ อันที่จริงก็สหายหมอกลวงตาไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว”

เสียงราบเรียบของนายท่านเจ็ดดังก้องอยู่ในหูสวี่ชิงกับนายกอง นายกองเหมือนจะกระจ่าง สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด

“ดูสถานการณ์ทั้งหมดในมุมมองของจักรพรรดิมนุษย์ พวกเจ้าก็จะพบสิ่งที่จักรพรรดิมนุษย์อยากจะทำมากที่สุดในตอนนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับสงครามอย่างแน่นอน ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นการสิ้นสุดสงครามหรือได้รับชัยชนะ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเกี่ยวข้องกับสงคราม

“เช่นนั้นทำเช่นไร ถึงจะสิ้นสุดหรือได้รับชัยชนะมาได้เล่า”

ดวงตานายท่านเจ็ดเผยประกายหม่น เหมือนแฝงไว้ด้วยความบรรพกาล

“นั่นก็คือ ให้เผ่ามนุษย์มีสมบัติในแดนสงครามที่ทรงพลานุภาพไปทั่วสารทิศ”

เสียงของนายท่านเจ็ดเด็ดเดี่ยวหนักแน่น

“แต่เพียงแค่นี้ยังไม่เพียงพอ เบื้องหลังเผ่าฟ้าทมิฬเป็นถึงเทพเจ้าพระจันทร์สีชาด ด้วยการติดต่ออัญเชิญของกรมบวงสรวงทั้งหมดของเผ่าฟ้าทมิฬ บูชาชีวิตเพื่ออัญเชิญวิชาเทพ มีความเป็นไปได้ว่าจะอัญเชิญเงาพระจันทร์สีชาดมา

“ดังนั้น การคิดหาวิธีเพื่อครอบครองสมบัติในแดนสงครามที่ทรงพลานุภาพไปทั่วสารทิศ เป็นแค่ข้อหนึ่ง ส่วนข้อสอง ยังต้องหาวิธีให้พระจันทร์สีชาดจุติลงมาไม่ได้ด้วย

“เช่นนั้น ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้พระจันทร์สีชาดลงมาจุติเล่า

“เผ่ามนุษย์ควบคุมพระจันทร์สีชาดไม่ได้ นำโชคชะตาของเผ่าหนึ่งเจรจากับพระจันทร์สีชาดอย่างเสียเปรียบก็ไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นการเจรจาจึงไม่จีรังยั้งยืน เช่นนั้นต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้องค์ท่านไม่จุติลงมาหรือมาช้าเล่า”

นายท่านเจ็ดมองไปทางสวี่ชิงกับนายกอง

“ทำให้พระจันทร์สีชาดไม่จุติลงมาด้วยเรื่องที่เกินความคาดหมาย อย่างเช่นการหลับใหลหรือขอรับ” จู่ๆ สวี่ชิงก็เอ่ยขึ้นมากับพร้อมนายกองข้างๆ

“ทุกครั้งที่ข้ากินจนท้องตึง ก็จะหลับใหลสูดรับตามสัญชาตญาณ…”

ทั้งสองคนพูดจบ ดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นพร้อมกัน สมองก็เหมือนถูกฟ้าฟาดผ่า ต่างสูดลมหายใจ

นายท่านเจ็ดยิ้ม แววตาฉายความหลักแหลมออกมา

“นี่เป็นแค่หนึ่งในหลักฐานเท่านั้น ยังยืนยันไม่ได้ว่าเป็นเช่นนี้ ดังนั้นต้องวิเคราะห์เรื่องนี้จากอีกมุมมองหนึ่ง

“เช่นหลังจากที่จักรพรรดิมนุษย์ไตร่ตรองคำตอบไปแล้ว ตอนที่สถานการณ์สงครามกำลังคลี่คลาย ก็คิดจะเปิดแดนต้องห้ามเซียน แล้วยังคิดจะช่วยปลุกพระจันทร์สีชาดที่อยู่ในนตัวจางซืออวิ้นให้ตื่นขึ้นอีก

“เรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ที่พวกเจ้าเห็นเป็นหมอกลวงตา นิ้วมือเทพเจ้าเองด้วยความรู้ความเข้าใจและสาเหตุของร่างตน ดังนั้นสิ่งที่เห็นจึงเป็นการที่ร่างของตนจะถูกกลืนกิน อันที่จริงองค์ท่านกล่าวคำตอบออกมาแล้ว

“สวี่ชิง จะอย่างไรเจ้าก็ยังเด็ก ต่อให้จะระมัดระวังสักเพียงใด แต่ก็ยังมีจุดที่ประมาทอยู่”

นายท่านเจ็ดจ้องสวี่ชิง สั่งสอนอย่างจริงใจ

สวี่ชิงฟังถึงจุดนี้ก็มีความคิดมากมายผุดขึ้นมาในสมอง เมื่อนึกย้อนอย่างละเอียดถึงคำพูดนิ้วมือเทพเจ้าก่อนหน้า จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า

“อาจารย์ ความหมายของท่านคือ ทำไมในตอนแรกนิ้วเทพเจ้าถึงมั่นอกมั่นใจว่าพระจันทร์สีชาดจะกลืนกินร่างของตนเช่นนั้นใช่หรือไม่ขอรับ”

บทที่ 520-2 ความจริงของการเปิดแดนต้องห้ามเซียน! (2) 1

บทที่ 520-2 ความจริงของการเปิดแดนต้องห้ามเซียน! (2) 2

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา