เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 599

บทที่ 599 ไม่เชื่อลิขิตฟ้า ไม่ปล่อยไปตามชะตา!

ที่พังถล่มไม่ได้มีเพียงร้านยาของสวี่ชิงเท่านั้น ตอนนี้สิ่งก่อสร้างมากมายในเมืองดินแห่งนี้ล้วนอยู่ท่ามกลางเสียงดังครืนครันเลื่อนลั่นพังถล่ม เกิดฝุ่นปลิวกระจายเป็นระลอก

กวาดสายตามองไป ผู้บำเพ็ญชุดคลุมยาวสีเทากลุ่มหนึ่งกำลังรื้อทำลายสิ่งก่อสร้างทุกอย่างในเมืองดินให้ราบ และประชาชนที่นี่ก็สลายตัวกันไปหมดแล้ว ถูกบังคับขับไล่ออกไป

กลางท้องฟ้ามีเงาร่างเจ็ดแปดร่างลอยอยู่กลางอากาศ จ้องมองเมืองดินบนพื้น

คนที่เป็นผู้นำเป็นชายหนุ่ม รูปร่างอย่างคนแคระเตี้ยแกร็น หน้าตาอัปลักษณ์ แต่ทั่วทั้งร่างกลับแผ่รังสีอำมหิต พลังบำเพ็ญยิ่งเป็นระดับแก่นลมปราณบริบูรณ์ กระทั่งว่าเทียบกับเฉินฝานจัวแห่งสำนักธุลีดินของที่นี่แล้วยังล้ำลึกกว่าเล็กน้อย

พวกเขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญของเทือกเขาทนทุกข์

ลมครามเปลี่ยนสีครั้งนั้นเมื่อหลายเดือนก่อนส่งผลกระทบไปทั่วทั้งทะเลทราย และทำให้ยอดเขาโดดเดี่ยวบางแห่งได้รับผลกระทบ เกิดการหลอมละลายไปในระดับต่างกัน

ดังนั้นในยามที่ลมขาวหายไป ลมครามปรากฏขึ้นอีกครั้ง ขั้วอำนาจจำนวนไม่น้อยจำต้องเลือกที่จะโยกย้ายถิ่น พวกเขาจะต้องรีบยึดครองภูเขาให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะใช้มันมาหลบลมขาวครั้งต่อไป

นี่เป็นเรื่องปกติ ทุกครั้งที่ลมครามในทะเลทรายครามเปลี่ยนสีล้วนเป็นเช่นนี้

ส่วนเทือกเขาทนทุกข์ในฐานะที่เป็นทิวเขาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทะเลทรายคราม ย่อมกลายเป็นตัวเลือกในอันดับต้นๆ

เพียงแต่ขั้วอำนาจในเทือกเขาทนทุกข์ซับซ้อนวุ่นวาย การกีดกันคนนอกสาหัสรุนแรง หากเป็นตัวบุคคลยังดี แต่หากขั้วอำนาจเข้ามา คิดจะมาเติบโตที่นี่ต้องใช้วิธีรุนแรงถึงจะได้

ดังนั้นในช่วงนี้ เทือกเขาทนทุกข์การสังหารปะทุขึ้นทุกหัวระแหง สงครามเกิดขึ้นถี่

กลุ่มผู้บำเพ็ญที่ปรากฏในเมืองดินตอนนี้ก็คือขั้วอำนาจนอกยอดเขาเช่นนั้น เป้าหมายของพวกเขาอยู่ที่เมืองริมขอบเทือกเขาทนทุกข์ คิดจะสร้างให้ที่นี่เป็นสำนักของขั้วอำนาจ

และเกิดการกระทบกระทั่งบาดหมางกับสำนักธุลีดินที่อยู่ที่นี่เพราะเหตุนี้ด้วย แต่สุดท้ายทั้งสองฝ่ายเลือกที่จะหยุด อย่างไรเสีย สำหรับสำนักธุลีดิน พวกเขาที่มีสำนักเป็นของตัวเอง ก็ใช่ว่าจะต้องรักษาอำนาจการควบคุมเมืองเอาไว้

ดังนั้น คนต่างถิ่นกลุ่มนี้จึงยึดเมืองดินได้สำเร็จ ตอนนี้คนแคระที่เป็นหัวหน้าจ้องมองเมืองดิน สายตาฉายแววพึงพอใจ

“พยายามทำให้ที่นี่ราบเป็นหน้าเดียวภายในห้าวัน”

คนแคระเอ่ยราบเรียบ แต่ตอนนี้ ข้างกายเขามีคนกวาดสายตาไปยังซากปรักหักพังร้านยาของสวี่ชิง เอ่ยเสียงต่ำ

“เจ้าสำนัก เฉินฝานจัวก่อนหน้านี้เตือนไว้ว่าทุกอย่างแตะต้องได้ มีเพียงร้านยาโถงวิญญาณทมิฬเท่านั้นที่ห้ามทำให้เสียหายแม้เพียงน้อยนิด…”

คนแคระได้ยินก็หัวเราะแค่นเสียงขึ้นจมูก

“เฉินฝานจัวไม่กล้าทิ้งเมืองนี้ คำพูดที่แกล้งทำให้ดูลึกลับเจ้าก็เชื่อหรือ

“ต่อให้ร้านยานี่มีเบื้องหลังอะไรอยู่บ้าง แต่อยู่ในโลกคนธรรมดาจะใหญ่ได้เพียงใดกันเชียว อีกทั้งที่นี่เป็นที่ตั้งสำนักของข้าในอนาคต เก็บร้านยาไว้ที่นี่ขัดหูขัดตา เหมาะสมที่ไหนกัน!”

คนข้างกายได้ยินก็พยักหน้า และในตอนนี้ สายรุ้งยาวที่ไกลๆ พุ่งมาอย่างรวดเร็ว หลังจากเข้ามาใกล้ก็แปรเปลี่ยนเป็นเงาร่างหนึ่ง เป็นเฉินฝานจัวนั่นเอง เขามองร้านยาที่กลายเป็นซากปรักหักพังแล้ว สีหน้าก็เคร่งเครียด มองไปทางคนแคระอย่างเย็นชา

“มู่เต้าจื่อ ก่อนหน้านี้ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าแตะร้านยาร้านนี้!”

คนแคระปรายตามองไป เอ่ยราบเรียบ

“แตะไปแล้ว เจ้าจะทำไม”

ตอนนี้ลมครามตลบทั่วฟ้า ลมตามเมืองดินพัดเอาฝุ่นบนพื้นปลิวขึ้นมา และทำให้รอบๆ เปลี่ยนมาสลัวคลุมเครือ เฉินฝานจัวสีหน้าอึมครึม มองไปทางคนแคระอย่างเย็นชา ไม่พูดอะไรก็หันหลังจากไป ในใจหัวเราะเสียงเย็น

“คนผู้นี้ห่างจากความตายไม่ไกลแล้ว”

คนแคระตอนนี้ก็หัวเราะเสียงเย็นเช่นกัน เขามองเงาแผ่นหลังของเฉินฝานจัว ในดวงตาจิตสังหารกลุ่มหนึ่งฉายวาบ

“ระดับแก่นลมปราณตัวเล็กๆ ไม่มีเบื้องหลังผู้หนึ่ง กลัวนู่นกลัวนี่ หดหัวหดหาง รอให้ข้าฝากตัวเป็นศิษย์กับจอมคนเนตรดำเสียก่อนเถิด ข้าจะฆ่าเจ้าคนแรกเลย!”

คิดถึงจอมคนเนตรดำที่ตนในครึ่งปีนี้อุตส่าห์สร้างสัมพันธ์ได้อย่างยากเย็น คนแคระก็ค่อนข้างตื่นเต้น ความจริงแล้วเขาก็มีอาจารย์เช่นกัน แต่อาจารย์ของเขาคนนี้พลังบำเพ็ญธรรมดาๆ ทำอะไรชอบหลบๆ ซ่อนๆ ทำท่าลึกลับ ตัวเองจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ชื่อของอีกฝ่าย

ในความทรงจำของเขา หกสิบปีนี้ ทุกครั้งที่พบอีกฝ่าย หน้าตารูปร่างล้วนไม่เหมือนเดิม นี่ทำให้เขาคาดเดาฐานะของอาจารย์ตัวเองมากมาย

แต่รายละเอียดเป็นเช่นไร เขาก็ไม่แน่ใจนัก เขาเพียงแต่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่ระดับปราณก่อกำเนิดเท่านั้น เทียบกับจอมคนเนตรดำระดับหวนสู่อนัตตาที่ตนจะฝากตัวเป็นศิษย์แล้ว แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

“ไม่รู้ว่าจอมคนเนตรดำจะมาเมื่อไร ข้าขอร้องไปนานมากแล้ว…”

ในตอนที่กำลังคิดถึงตรงนี้ แผ่นหยกในถุงเก็บของของเขาก็พลันสั่นขึ้นมา คนแคระใจกระตุกวูบ รีบเอาออกมา ไม่นานนักก็มีเสียงทรงอำนาจดังขึ้นมาในสมองของเขา

“มู่เต้าจื่อ มาพบข้า”

มู่เต้าจื่อได้ยินก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที นี่เป็นเสียงของจมคนเนตรดำ ในที่สุดเขาวันที่เขารอคอยก็มาถึง ตอนนี้ไม่กล้าเมินเฉย หันหลังจากไปไกลอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกัน นอกเขตปกครองทรายคราม ในฟ้าดินลายหมองมัวซัดโหม ดวงอาทิตย์ที่ซ่อนอยู่ในมิติกำลังเคลื่อนตัวไปยังเทือกเขาทนทุกข์อย่างรวดเร็ว

คนทั้งหลายในนั้นยุ่งวุ่นวายเหมือนปกติ

หนิงเหยียนเช็ดพื้น อู๋เจี้ยนอูบีบนวด นกแก้ววางอำนาจชี้นิ้วสั่ง หลี่โหยวเฝ่ยเป็นเบ๊รับจบ

นายกองใช้พัดพัดเหมือนเดิม

ที่ต่างออกไปคือที่นี่มีเสียงของหลิงเอ๋อร์และเสียงหัวเราะของท่านปู่ชรารัฐทายาทเพิ่มขึ้นมา

รัฐทายาทชอบหลิงเอ๋อร์มากๆ หลิงเอ๋อร์ก็เริ่มไม่กลัวขนาดนั้นแล้ว หลังจากแปลงร่างก็มานั่งข้างท่านปู่ชรา ประเดี๋ยวๆ เสียงหวานๆ ก็เรียกท่านปู่ ชวนให้ชายชราพออกพอใจ

“ท่านปู่เจ้าขา ใกล้ถึงโถงวิญญาณทมิฬของข้ากับพี่สวี่ชิงแล้ว หลังจากนี้ไม่กี่วันเมื่อไปถึงแล้ว ท่านปู่ท่านก็พักที่นั่น ร้านยาของข้ากับพี่สวี่ชิงเยี่ยมยอดมากเลยนะเจ้าคะ”

หลิงเอ๋อร์เอ่ยออดอ้อน

รัฐทายาทได้ยินก็พยักๆ หน้า เหมือนมองหลานสาวตัวน้อย ในตาแฝงด้วยความรักความเอ็นดู

บทที่ 599 ไม่เชื่อลิขิตฟ้า ไม่ปล่อยไปตามชะตา! 1

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา