บทที่ 624 ชายหนุ่มที่ล่ามดวงอาทิตย์
เทือกเขาทนทุกข์ ด้านนอกร้านยาในเมืองดิน อู๋เจี้ยนอูมองถนนที่คึกคัก มองผู้คนที่สัญจรไปมา ความอยากร่ายกลอนสูงขึ้นมาไม่น้อยเลย
กระทั่งยังเปลี่ยนโคลงกลอนด้วย
“โอสถ โอสถ โอสถ เจ้าดุจปุยดอกหลิวพลิ้วตามลม หากหมายเข้าห้วงนิทราอย่างสุขสม จงรีบมาชมมาเลือกสรรยา!”
อู๋เจี้ยนอูเอ่ยเสียงดังลั่น หลี่โหยวเฝ่ยที่อยู่ข้างๆ ก็รีบเอ่ยชม
“คุณชายร่ายกลอนได้ไพเราะยิ่ง!”
อู๋เจี้ยนอูหัวเราะร่า ตอนที่กำลังจะร่ายต่อ หลิงเอ๋อร์ในร้านยาก็พุ่งเฉียดร่างเขาไปราวกับสายลม พริบตาต่อมา ร่างเงาของพวกสวี่ชิงทั้งสามก็ปรากฏขึ้นบนถนนไกลๆ
หลิงเอ๋อร์โถมเข้าใส่อ้อมอกสวี่ชิง
“พี่สวี่ชิง ในที่สุดท่านก็กลับมา…”
หลิงเอ๋อร์ขอบตาแดงรื้น หลายวันมานี้นางเป็นทุกข์ตลอดทั้งวัน รู้สึกวิตกกังวลจนนางรู้สึกไม่สนุกกับการคิดบัญชีตามปกติที่นางชอบที่สุด
ตอนนี้เห็นว่าสวี่ชิงไม่เป็นไร นางที่พะว้าพะวังมาตลอดจึงผ่อนคลายลง
สวี่ชิงลูบศีรษะหลิงเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม มองไปทางร้านยา
หลายวันมานี้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนผ่านไปแล้วหลายปี ตอนนี้พอกลับมา ก้นบึ้งจิตใจก็รู้สึกทอดถอนใจ
“โยวโยวน้อย ยัยก้นใหญ่ ข้ากลับมาแล้ว ทำไมเจ้าไม่มากอดข้าบ้าง” นายกองข้างๆ ก้าวเข้าไปในร้านยา เอ่ยเสียงดังลั่น
เมื่อโยวจิงที่กำลังนั่งยองๆ ต้มน้ำอยู่ตรงนั้นได้ยินก็สะอิดสะเอียด ไม่ง่ายเลยที่ความกระสับกระส่ายในใจจะสงบลงได้หลายวัน ตอนนี้ปะทุขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินเสียงของเอ้อร์หนิว
“ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะต้องสังหารเจ้าวัวชั้นต่ำนี่ ค่อยๆ กัดทีละชิ้นๆ กินลงไป!!”
รัฐทายาทมองทุกอย่างนี้ด้วยรอยยิ้ม เขาชอบบรรยากาศอบอุ่นในร้านยานี้มาก จึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่ประจำของตัวเอง หยิบจอกชาขึ้นมาจิบ
เจ้านกแก้วก็รีบบินมาเกาะบนบ่ารัฐทายาทอย่างรู้สึกสบายใจ เพียงแต่ตอนก้มกวาดตามองเนื้อหนังสีแดงที่ขนหายไปไม่น้อย มันก็โศกเศร้าระคนโกรธเคืองขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านปู่ หลายวันก่อนข้าเจอกับพวกคนชั่วอีกแล้ว มองไม่ชัดว่าเป็นผู้ใด พวกมันนำถุงผ้าครอบข้าไว้ ไม่ได้ทุบตี แต่ดึงขนข้าผ่านถุงผ้าใบนั้น ทำเกินไปจริงๆ!”
หนิงเหยียนก้มหน้าออกแรงถูพื้นต่ออย่างมาก แต่ถูไปได้ไม่เท่าไร หลังจากเขาสังเกตเห็นสวี่ชิงก็ชะงัก สีหน้าแปลกใจระคนสับสน
“ลูกพี่ ทำไม…ข้าถึงรู้สึกว่าท่านแตกต่างจากก่อนหน้านี้เล่าขอรับ”
เมื่อหนิงเหยียนกล่าว อู๋เจี้ยนอูก็มองมา หลี่โหยวเฝ่ยก็ทอดสายตามาเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาสองคนค่อนข้างสับสน มองไม่ออกว่ามีอะไรเปลี่ยนไป รู้สึกแค่ว่าเหมือนสวี่ชิงจะพร่างพราวกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อยเท่านั้น
ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ฝลึกวารี แต่ความรู้สึกพรงพราวนี้ ยังผุดขึ้นมาจากใจของพวกเขาทั้งสองคน
หลิงเอ๋อร์ก็สงสัย
นายกองยิ้มไม่พูดจา สีหน้าภาคภูมิใจ
สวี่ชิงยิ้ม ไม่พูดอะไร หลังจากกวาดตามองร้านยาแล้ว ก็สัมผัสได้ว่าในเรือนมีพวกลูกเจี๊ยบเพิ่มมา
“เจ้าพวกนี้วิ่งเข้ามาเองเจ้าค่ะ” หลิงเอ๋อร์เอ่ยเสียงเบา
สวี่ชิงพยักหน้า หลังจากถามไถ่เรื่องระหว่างที่เข้าไม่อยู่กับทุกคนแล้ว ก็กลับไปที่ห้องด้านหลัง
เขานั่งลงขัดสมาธิ สูดลมหายใจลึก ย้อนนึกถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา หลับตาลงช้าๆ สัมผัสถึงอำนาจรวมถึงสมบัติเทพพระจันทร์สีม่วงที่ตนได้รับมา
‘ตอนนี้ เพียงสมบัติเทพพระจันทร์สีม่วงของข้าก็สามารถสะกดหล่อผู้บำเพ็ญหล่อเลี้ยงมรรคาได้…ทว่ายังผสานพิษต้องห้ามเข้าไปในสายตาไม่ได้ มีเพียงในยามที่ความเป็นเทพครอบงำข้าเท่านั้นถึงจะทำได้
‘แต่อำนาจทางนี้ เหมือนยังมีความสามารถที่สำแดงออกมามากกว่านี้ได้…
‘ซ้ำแข็งแกร่งของกายเนื้อรวมถึงพลังพระจันทร์สีม่วงยังเปลี่ยนเป็นสมบัติเทพ สิ่งนี้เมื่อเทียบปราณก่อกำเนิดอื่นๆ ของข้า กลับค่อนข้างเสียสมดุล
‘การเสียสมดุลนี้มีข้อเสียไม่น้อย หากไม่รีบพัฒนาปราณก่อกำเนิดปราณอื่น เกรงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกาลักน้ำ ปราณก่อกำเนิดอื่นค่อยๆ แห้งเหือด’
สวี่ชิงครุ่นคิด
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปเช่นนี้
เจ็ดวันต่อมา วันที่รัฐทายาทกล่าวไว้ก่อนหน้าก็มาถึง เขาพาสวี่ชิงมายังสถานที่แห่งหนึ่ง
ก่อนที่จะเดินทาง ในลาน รัฐทายาทมอบลูกเหล็กกลมเกลี้ยงสีเทาให้สวี่ชิงลูกหนึ่ง
“ใช้พลังพระจันทร์สีม่วงของเจ้าล่ามลูกเหล็กนี้ไว้ที่เอว จำเอาไว้ว่าหากไม่จนหนทางจริงๆ ก็อย่าเอาลง”
สวี่ชิงมองลูกเหล็ก ของสิ่งนี้เขารู้สึกค่อนข้างคุ้นตา จึงยื่นมือไปรับ
แต่พริบตาที่เขารับไว้ พลังมหาศาลไร้เทียมทานวูบหนึ่งก็แผ่ออกมาจากลูกเหล็กนี้ น้ำหนักของมันน่าตื่นตะลึง ทำให้มือขวาของสวี่ชิงร่วงลงพลัน ร่างกายก็ส่งเสียงครืนครัน
พริบตาต่อมา ขณะที่สวี่ชิงตกตะลึงก็กระตุ้นร่างเทพเจ้าตามสัญชาตญาณ ร่างสูงใหญ่ขนาดนี้ยี่สิบจั้งก็ปรากฏขึ้นในเรือนท่ามกลางเสียงครืนครัน
เช่นนี้ ถึงฝืนรับลูกเหล็กนี้ไว้ได้
แต่น้ำหนักที่มาจากลูกเหล็กไม่ได้ส่งผลแค่กับร่างกายสวี่ชิงเท่านั้น ยังรวมถึงปราณก่อกำเนิดด้วย นอกจากจิตวิญญาณแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างล้วนแบกรับน้ำหนักนี้ไว้
นี่ทำให้เขาควบคุมร่างกายไม่ได้จนถลำเข้าไปในหินภูเขาที่บนพื้น
รอยแตกแต่ละทาง แผ่ลามออกมาจากใต้ร่าง ครึ่งร่าสวี่ชิงจมลงไปในพื้น ลูกเจี๊ยบรอบๆ บินแตกกระเจิงอย่างตื่นกลัวไปตัวละทาง ขนไก่ร่วงเต็มพื้น
สวี่ชิงรู้สึกสะกิดใจ
เขาจำลูกเหล็กนี้ได้แล้ว
สิ่งนี้คือดวงอาทิตย์ที่เขากับนายกองลากขึ้นมาจากแม่น้ำเซ่นทมิฬ ซึ่งท่านปู่อยู่ในลูกเหล็กนี้ตอนนั้น
“นี่…” สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก มองรัฐทายาท
“ของเล่นชิ้นนี้ให้เจ้ายืม ระหว่างทางจากนี้ เจ้าห้ามใช้ร่างกายเทพเจ้าช่วยแบ่งเบาภาระเด็ดขาด พลังพระจันทร์สีม่วงก็ใช้ได้แค่ล่ามมันไว้เท่านั้น เจ้าคอยต้องโคจรปราณก่อกำเนิดอื่นนอกจากพระจันทร์สีม่วงออกมาแบกรับตลอดเวลา
“เช่นนี้ ถึงจะไม่ทำให้พระจันทร์สีม่วงหลังจากที่พลังมากขึ้นของเจ้าสะกดปราณก่อกำเนิดอื่น จนพลังบำเพ็ญเปลี่ยนเป็นก้าวหน้าช้าลง”
“เอาล่ะ ข้าจะรอเจ้าที่ประตูร้านยา เจ้าต้องเดินมาทีละก้าวๆ ควบคุมแรงของเจ้าให้ดี ไม่ใช่นั้นหากร้านยาถล่ม จะเป็นปัญหา”
รัฐทายาทเอ่ยเสียงราบเรียบ เดินมือไพล่หลังเข้าไปในโถงใหญ่ ตรงไปที่ประตูใหญ่
ข้างประตู นอกจากอู๋เจี้ยนอู ยังมีอีกคนหนึ่ง
เป็นชายชราผู้หนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาเจือความน่าเกรงขาม ยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนทวารบาล ยิ่งมีพลังอำนาจที่ไม่ธรรมดาแผ่ปกคลุม โดยเฉพาะแววตามีรอยขีดเป็นริ้วๆ กำลังไหลวน
นี่เป็นลักษณะของหวนสู่อนัตตาขั้นหนึ่ง!
เพียงแต่ ตอนนี้ชายชราหวนสู่อนัตตาขั้นหนึ่ง กลับสวมเสื้อผ้าหยาบๆ ของพนักงาน ติดตามอู๋เจี้ยนอู


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา