บทที่ 629 ปรากฏการณ์แสงประกายอรุณ การใหญ่ของเอ้อร์หนิว (1)
เทือกเขาทนทุกข์
เพราะการแผ่ปกคลุมของแสงสีเลือดที่ขอบฟ้า พระจันทร์สีชาดจะกลับมา จิตชั่วร้ายของสรรพชีวิตจึงสูญเสียการความคุมและระเบิดออกมา จึงเกิดความวุ่นวายไปทั่วทุกหัวระแหง เกิดการฆ่าฟันอย่างต่อเนื่อง
มีเพียงหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งบนภูเขาชายขอบเทือกเขาทนทุกข์ที่ยังคงเป็นเหมือนเดิม อบอุ่นอย่างยิ่งมาโดยตลอด
ใบหน้าประดับรอยยิ้ม ต่างไม่มีจิตอริคิดร้ายใด เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
ประชาชนที่อยู่ในเมืองดินนี้ครึ่งหนึ่งเป็นลูกน้องของศิษย์หลี่โหยวเฝ่ย เนื่องจากสัมผัสได้ถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของรัฐทายาท จึงยินยอมพร้อมใจอยู่ที่นี่ ส่วนผู้บำเพ็ญอีกครึ่งหนึ่งเป็นผู้มาเยือนจากด้านนอกในช่วงนี้
ก่อนที่ผู้ที่มาจากด้านนอกเหล่านี้จะเข้าเมืองดิน ในใจเต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง แต่หลังจากที่เข้ามาก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของที่แห่งนี้ จึงปล่อยวางความคิดชั่วร้าย โอบรับความดีงามไว้
‘ความอบอุ่นของที่นี่ มีเพียงตอนที่เสด็จพ่อยังมีชีวิตอยู่ พื้นแผ่นดินผืนนี้ถึงมีบรรยากาศแบบเดียวกัน ทุกเผ่าพันธุ์สมานฉันท์กลมเกลียว’
เดินอยู่บนถนนที่คึกคัก รัฐทายาทรู้สึกทอดถอนใจ
สายตาองค์หญิงหมิงเหมยในชุดสีขาวหยุดอยู่ที่กลุ่มคนรอบๆ พยักหน้า นางรู้ว่ารัฐทายาทชอบที่นี่จริงๆ
สายตาของน้องหญิงห้าก็ฉายแววระลึกย้อน เทียบกับช่วงที่ถูกผนึกไปนานปี ตอนนี้กลับมาที่โลกมนุษย์ ต่อให้ได้เยือนแค่ที่เดียว แต่ก็ยังทำให้จิตใจที่เยือกแข็งของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้าง
แต่ตอนนี้เอง ชายหนุ่มร่างกำยำที่เดินตามอยู่ด้านหลังพวกเขา ก็เอ่ยอย่างทนไม่ไหว
“ท่านพี่ ท่านจะสนใจเจ้าสิ่งที่เรียกว่าความอบอุ่นทำไมกัน ที่นี่ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นล้วนมีพลังของท่านปกคลุมอยู่ ลมจะพัดอย่างไร หญ้าจะไหวเช่นไร ล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ของท่าน…”
สีหน้าของรัฐทายาทมืดครึ้ม มองน้องแปดอย่างไม่สบอารมณ์
องค์หญิงหมิงเหมยหันหน้า สายตาเปลี่ยนเป็นเย็นชา
น้องหญิงห้าขมวดคิ้วอยู่ทางนั้น มองไปเช่นกัน
ถูกพี่น้องทั้งสามจ้องเขม็ง ชายหนุ่มร่างกำยำก็สั่นเทิ้ม สูดลมหายใจตามสัญชาตญาณ ใบหน้าฉายแววประจบเอาใจ ร่างกายยิ่งไหววูบ แปรเปลี่ยนไปอยู่ในร่างชายชรา
“สถานที่ดี อบอุ่นยิ่ง ชอบมาก!”
รัฐทายาทสีหน้าไร้อารมณ์ เดินหน้าต่อ
องค์หญิงหมิงเหมยกับน้องหญิงห้าก็ถอนสายตากลับมา
ผู้อาวุโสแปดถอนหายใจโล่งอก
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด มองความสัมพันธ์ระหว่างบุตรธิดาของเจ้าเหนือหัวไม่กี่คนนี้ออกแล้ว
‘องค์หญิงหมิงเหมยฐานะสูงที่สุด รัฐทายาทคล้ายจะรองลงมา แต่พวกเขาล้วนยอมให้องค์หญิงห้า ส่วนผู้อาวุโสแปด…’
สวี่ชิงนึกถึงตอนที่เห็นอีกฝ่ายผ่านประสาทสัมผัสเทพก่อนหน้านี้
‘น่าจะไม่ต่างกับหนิงเหยียนเท่าไร’
ระหว่างที่ทำความเข้าใจ สวี่ชิงก้าวเท้าตามองค์หญิงหมิงเหมยกับองค์หญิงห้าอยู่ด้านหลัง เข้าใกล้ร้านยาขึ้นเรื่อยๆ
เพียงไม่นาน ร่างของอู๋เจี้ยนอูกับบรรพจารย์โม่กุ่ยก็สะท้อนอยู่ในครรลองสายตาสวี่ชิง กลอนใหม่ที่อีกฝ่ายคิดก็ดังเข้ามาในหูตอนนี้
“สิบชั้นฟ้า เก้าแผ่นดิน แปดสายลม เจ็ดสมุทร หกวิถี ห้าอาชีพ จงรีบมาซื้อ หนึ่งมา สองไป สามยา สี่ไท่ ห้าวิญญาณหกอักขระ ต่อราคาจะไม่ขาย!”
ในช่วงนี้กลอนของอู๋เจี้ยนอูด้านนอกร้านขายยาในเมืองดินเปลี่ยนฉันทลักษณ์หลากหลายยิ่ง ตอนนี้ยิ่งมีสร้างสรรค์ใหม่บ้าง สั่นสะเทือนไปทั้งถนน ดึงดูดคนให้แห่แหนมาซื้อยาไม่น้อย
บรรพจารย์โม่กุยข้างๆ ดูคล้ายจะยอมรับชะตากรรม ทำหน้าเบื่อหน่ายแทบขาดใจอยู่ตรงนั้น แต่เขาก็ขบคิดในใจว่าจะหนีไปจากที่นี่อย่างไรอยู่เสมอ
เขาระมัดระวังมาก ดังนั้นหลายวันนี้จึงไม่ทำการบุ่มบ่าม คอยสังเกตอยู่ตลอด
และตอนนี้เขาก็เห็นเบาแสบางอย่างแล้ว ขณะที่วิเคราะห์แผนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าในใจ จู่ๆ ปลายสายตาก็สังเกตเห็นคนที่เดินมาบนถนน เขาตัวสั่นเทาไปตามสัญชาตญาณ ฉายแววประจบเอาใจ กำลังจะกล่าวทวนกลอนของอู๋เจี้ยนอู แต่พริบตาต่อมา…
เขาเห็นหญิงชราสองคนหนึ่งสวมชุดดำหนึ่งสวมชุดขาวข้างกายรัฐทายาท
ตอนที่เห็นหญิงชราในชุดขาวผู้นั้น บรรพจารย์โม่กุยก็สมองลั่นครืนครัน
‘เตรียมสู่เทวะอีกตนหรือ’
‘นี่ก็เตรียมสู่เทวะ!’
บรรพจารย์โม่กุยมองไปทางชายชราร่างกำยำสูงใหญ่ด้านหลังผู้นั้นอย่างเลื่อนลอย
‘ยังมีอีก…’
บรรพจารย์โม่กุยแทบยุดหายใจ เขารู้สึกว่าทั้งหมดนี้หลอกลวงกันเกินไป ราวกับอยู่ในฝัน เขากระทั่งคิดว่าต่อให้ฝันก็ยังไม่กล้าจินตนาการไปไกลถึงเพียงนี้
ทั้งหมดนี้ ทำให้เขาร่างทรุดฮวบทันที ทิ้งตัวคุกเข่าเสียงดังตุบ
เขายอมแล้ว ยอมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาในตอนนี้ไม่มีความคิดที่จะหนีอีกแล้ว เขารู้สึกว่าในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรานี้ นอกจากตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดจะทุ่มสุดกำลัง หรือชื่อหมู่อาจจะต้องจุติเองเท่านั้น ไม่เช่นนั้นคงไม่มีผู้ใดช่วยตนออกไปได้แล้ว
อู๋เจี้ยนอูประหลาดใจ มองตามสายตาของบรรพจารย์โม่กุยไปทางถนน เมื่อสังเกตเห็นสวี่ชิงรวมถึงท่านปู่ชรารัฐทายาท เขาที่กำลังจะทักทาย แต่พริบตาต่อมา เขาก็เห็นหญิงชราทั้งสองรวมถึงชายชราที่อยู่ด้านหลัง
ภาพที่ท่านปู่ท่านย่าชราทั้งสี่คนเดินมาด้วยกัน ทำให้อู๋เจี้ยนอูตกตะลึง ขยี้ตาไปตามสัญชาตญาณ เมื่อมั่นใจว่าตนไม่ได้ตาฝาด สมองของเขาก็มีอัสนีฟาดผ่า
‘ไม่จริงน่า หรือว่า…มาเพิ่มอีกสามคน!’
อู๋เจี้ยนอูเหม่อลอยไปแล้ว ไม่แน่ใจว่าการคาดเดาของตนเป็นจริงหรือไม่ แต่นี่ก็ไม่ส่งผลกระทบกับจิตใจที่โหมคลื่นยักษ์ลูกมหึมา
ขณะที่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น พวกสวี่ชิงก็เดินผ่านหน้าเขาไป
จนกระทั่งผู้อาวุโสแปดเดินมาถึงด้านหน้าเขา กวาดตามอง แสยะยิ้ม
“เจ้าหนูน้อย กลอนไม่เลวนี่”
ระหว่างที่ประโยคนี้ดังเข้ามาในหูอู๋เจี้ยนอู แปรเปลี่ยนเป็นอัสนีบาตในใจ ร่างทรุดฮวบ คุกเข่าลง มองทุกร่างเงาเดินเข้าไปในร้านขายยาอย่างโง่งม

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา