เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 634

บทที่ 634 ใบหน้าชาติที่แล้ว

ในท้องฟ้าสว่างสดใส บนเทือกเขาที่เหมือนกับคมมีด คนกลุ่มหนึ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว

นายกองอยู่ข้างหน้าสุด จากนั้นก็เป็นสวี่ชิง อู๋เจี้ยนอู โยวจิง หลี่โหยวเฝ่ยและหนิงเหยียนที่อยู่ข้างหลังสุด

ระหว่างพวกเขาห่างกันสิบกว่าจั้ง ต่างถูกหมอกสีดำเข้มข้นปกคลุม มองไม่เห็นโลกภายนอก และสัมผัสซึ่งกันและกันไม่ได้

สวี่ชิงถือเทียนสีฟ้าที่จุดเอาไว้ ตัวอยู่ในหมอกดำที่ปล่อยมาจากเทียน เคลื่อนไปข้างหน้า ในใจก็ระแวดระวังภัยไปด้วย

ลำพังหากนายกองทางนั้นไม่เตือนว่าอย่าปล่อยให้เทียนดับก็ช่างเถิด พอเตือนเช่นนี้สวี่ชิงก็อดนึกย้อนถึงประสบการณ์ในอดีตไม่ได้

ดังนั้นพลังบำเพ็ญในร่างของเขาจึงโคจรไปโดยสัญชาตญาณ เสี้ยวขณะนี้สัญญาที่ยังไม่อาจใช้อำนาจพระจันทร์สีชาดได้ถูกสวี่ชิงเมินไปแล้ว

ไม่เพียงแต่อำนาจพระจันทร์สีชาดทะลักไปทั่วกาย กระทั่งว่าพิษต้องห้ามก็ถูกสวี่ชิงแผ่ออกล้อมรอบอยู่นอกกาย

ยิ่งมีประกายแสงอรุณแผ่ระลอก

เขาเตรียมตัวรับมือกับเหตุไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้นทุกเสี้ยวขณะแล้ว

หลิงเอ๋อร์ที่อยู่ที่ปกเสื้อ ตอนนี้ร่างขยับเล็กน้อย โผล่ศีรษะออกมาอย่างระมัดระวัง มองดูโลกภายนอก

“พี่สวี่ชิง ที่นี่ค่อนข้างคล้ายกับโลกวิญญาณบรรพกาล มีวิญญาณมากมาย เพียงแต่วิญญาณที่โลกวิญญาณบรรพกาลล้วนแต่เป็นเอกเทศ แต่ที่นี่เหมือนว่าจะมีกฎเกณฑ์พิเศษบางอย่าง ทำให้วิญญาณนับไม่ถ้วนหลอมรวมอยู่ด้วยกัน

“ข้ายังได้ยินเสียงที่พวกเขาซุบซิบกันแว่วๆ คล้ายว่ากำลังพูดอะไรอยู่ แต่รายละเอียดฟังได้ไม่ชัด ข้ารู้สึกว่าพวกเขากำลังสังเกตพวกเรา”

หลิงเอ๋อร์เอ่ยกระซิบ

สวี่ชิงพยักหน้า ฝีเท้าที่ก้าวย่างอยู่บนเทือกเขาแห่งนี้ยิ่งเร็วขึ้น แต่หมอกที่แผ่ออกมาจากเทียนในมือบดบังครรลองสายตา เขามองไม่เห็นนายกองที่อยู่ข้างหน้า

และไม่อาจสัมผัสได้เช่นกัน

ต่อให้เป็นเจ้าเงา อยู่ที่นี่ก็ถูกควบคุมเช่นกัน ยากที่จะแผ่ออกไป

มีเพียงหลิงเอ๋อร์ที่อาศัยพรสวรรค์ของเผ่าวิญญาณบรรพกาลของนาง เหมือนว่าจะสามารถสำรวจค้นโลกข้างนอกได้บ้าง

สวี่ชิงพูดในใจ

“ได้เจ้าค่ะ แม้จะรางเลือนแต่ก็สัมผัสได้อยู่บ้าง พี่สวี่ชิง ข้างนอกทุกอย่างเป็นปกติ ทุกคนล้วนเคลื่อนไปข้างหน้าในหมอก ทิศทางถูกต้อง ข้างหน้าห่างจากท่านไปสิบกว่าจั้งคือศิษย์พี่เอ้อร์หนิว ข้างหลังคือพี่เจี้ยนเจี้ยน”

สวี่ชิงพยักหน้า ทะยานไปตามเทือกเขา

พวกเขาทั้งหกคนเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้เอง ทุกคนต่างตั้งสมาธิ ในใจระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นโยวจิงทางนั้นที่พลังบำเพ็ญล้ำลึกก็ไม่กล้าวอกแวกแม้แต่น้อยเช่นกัน

เพราะโลกแปลกประหลาดใบนี้นอกจากโคมไฟหนังมนุษย์กลางอากาศและเสียงคำรามจากทั้งสองฝั่งในหุบเหวลึกแล้ว ยังมีลมภูเขาเป็นระลอกๆ

ลมนี้น่ากลัวมาก แฝงจิตสังหารท่วมฟ้าเอาไว้ ชวนให้ขนหัวลุก

มันพัดผ่านเทือกเขา พัดไปยังหมอกของคนทั้งหลาย ในขณะเดียวกับที่กลุ่มหมอกบิดเบี้ยวลอยม้วน ก็ทำให้ในใจคนทั้งหลายเกิดความเย็นเยือกไม่สิ้นสุด เหมือนมีดาบเป็นเล่มๆ พุ่งผ่านหน้าไป

และทุกเล่มล้วนแฝงรังสีอำมหิตรุนแรงสุดขีดเอาไว้ สั่นสะท้านจิตใจ เหมือนว่าสามารถเมินซึ่งพลังบำเพ็ญ ฟันไปที่วิญญาณได้ทันที

“ลมพัดแล้ว พวกเราถือเทียนในมือเอาไว้ให้มั่น กายจิตรวมเป็นหนึ่ง”

กลางสายลมมีเสียงต่ำทุ้มของนายกองดังมาในกลุ่มหมอกทุกกลุ่ม

“ลมที่พัดมาครั้งนี้จะส่งเสียงคำรามจากทั้งสองฝั่งหุบเหวลึกมาได้ชัดยิ่งขึ้น และเสียงพวกนี้หลังจากที่รวมกันได้ในระดับหนึ่งก็จะเปลี่ยนเป็นเสียงที่พวกเราคุ้นเคย

“และที่นี่ซ่อนอยู่ในความทรงจำ ดังนั้น ทันทีที่เราก้าวเข้ามาที่นี่ ในพริบตาที่มองเห็นที่นี่ ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำพวกเราไปแล้ว

“การมีตัวตนอยู่ของพวกเรา ก็ถูกจำเอาไว้ที่นี่แล้วเช่นเดียวกัน

“เช่นนี้แล้ว ความทรงจำของพวกเรากับที่นี่ ความจริงก็ได้ผสานรวมกันแล้ว ดังนั้น เสียงที่ทุกคนได้ยินล้วนแตกต่างกัน นั่นเป็นความยึดติดในจิตใจของแต่ละคน”

“จำเอาไว้ นั่นเป็นของปลอม อย่าได้เชื่อ อย่าได้คิด ยิ่งกว่านั้นคืออย่าได้หันกลับไป!”

พูดถึงข้อสุดท้าย เสียงนายกองก็แว่วไกล เบาบางลงเรื่อยๆ และเสียงลมรอบๆ ก็ค่อยๆ ดังขึ้น เสียงหวีดหวิวในยามที่พัดกระหน่ำ ก็เปลี่ยนมารุนแรงขึ้น

สวี่ชิงเงยหน้า มองไปยังหมอกข้างหน้า เขากำลังคิดถึงคำถามหนึ่ง

ในคำพูดของนายกองบอกว่าอย่าได้เชื่อเสียงที่ดังมาในสายลม เช่นนั้น…เสียงพวกนี้ของนายกองเชื่อได้หรือไม่

หากเป็นคำพูดของนายกองจริงๆ ไยจึงไม่พูดก่อนหน้านี้

แล้วก็ หากเป็นเสียงของนายกองจริงๆ เช่นนั้นเขาพูดเรื่องพวกนี้ในตอนนี้ หรือจะแค่เตือนจริงๆ

สวี่ชิงเงียบนิ่ง กำลังจะพูดขึ้นมา แต่เสี้ยวขณะต่อมาเขาก็ทิ้งความคิดบุ่มบ่ามนี้ ไม่ว่าเสียงนั้นจะเป็นของจริงหรือปลอม การขานตอบความจริงก็นับเป็นกรรมเวรอย่างหนึ่ง

อีกทั้งเป็นความจริงหรือไม่นั้นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือทิศทางของตัวเองถูกต้อง เดินไปบนเส้นทางใต้ฝีเท้าเส้นนี้ก็เพียงพอแล้ว

ไปพร้อมด้วยความคิดเช่นนี้ สายตาของสวี่ชิงสงบนิ่ง เคลื่อนไปข้างหน้าในเทือกเขาที่ทอดตัวยาวสุดสายตา

ไม่นานก็ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ในยามที่พวกเขาทั้งหลายเดินไปได้กว่าครึ่งทาง เรื่องที่นายกองพูดเตือนก่อนหน้านี้ก็เกิดขึ้น

ข้างหูของพวกเขาทุกคนล้วนมีเสียงและคำร้องเรียกที่แตกต่างกันไปดังขึ้น

สวี่ชิงได้ยินเสียงของหัวหน้าเหลย และยังมีปรมาจารย์ไป่ นายท่านเจ็ด จื่อเสวียน กระทั่งว่าเขายังได้ยินเสียงเรียกของพ่อแม่และรัชทายาทรัฐม่วงครามด้วย

สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ เขาไม่คิดว่าจะมีคนหันกลับไปมองภายใต้สถานการณ์แบบนี้จริงๆ จึงไม่สนใจ ขณะที่เดินไปข้างหน้าต่อไป ก็ยกมือแตะหลิงเอ๋อร์ที่อยู่บนคอ ไม่ให้นางสมาธิวอกแวก

ไม่รู้ว่าโยวจิงได้ยินอะไร ใบหน้าไร้อารมณ์ ฝีเท้าไม่หยุดหรือช้าลงแม้แต่น้อย

หลี่โหยวเฝ่ยอายุปูนนี้แล้ว ผ่านประสบการณ์มามากมาย สามารถเล่นกลอุบายได้อย่างแยบยลในครั้งที่ได้เจอสวี่ชิงครั้งแรก จิตใจย่อมมั่นคงเด็ดเดี่ยว สะกดระลอกคลื่นอารมณ์ในใจ ไม่สนใจ

ส่วนอู๋เจี้ยนอู ท่ามกลางสายลมเขาได้ยินเสียงของอวิ๋นเสียจื่อ คล้ายว่าอยู่ข้างหลังของตน กำลังเรียกเขาอยู่

ภาพที่ปรากฏขึ้นกะทันหันทำให้อู๋เจี้ยนอูตะลึง แต่นึกถึงเงาแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยวในตอนนั้น อู๋เจี้ยนอูก็แค่นเสียงหัวเราะขึ้นจมูก ไม่สนใจ กลับสาวเท้าเร็วขึ้น

จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงต่ำทุ้มที่เต็มไปด้วยความทรงอำนาจ เหมือนดังมาจากบรรพกาล ตรงกับสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวทุกอย่างโดยสมบูรณ์แบบ

บทที่ 634 ใบหน้าชาติที่แล้ว 1

บทที่ 634 ใบหน้าชาติที่แล้ว 2

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา