บทที่ 639 ละครฉากใหญ่เปิดม่านแล้ว!
‘จากนี้ พวกเจ้าจะได้เห็นภาพเหตุการณ์อันล้ำค่าที่เกิดขึ้นเมื่อยามบรรพกาล’
เสียงแห้งพร่า จากภาพที่ผุดขึ้นในใจคนทั้งหลายก็ดังสะท้อนขึ้นมา
‘มันบันทึกภาพในอดีตที่เจ้าเหนือหัวแห่งแผ่นดินใหญ่ใต้เท้าเรานี้สังหารชื่อหมู่เอาไว้อย่างสมบูรณ์
‘และภาพนี้ เนื่องจากเทพเจ้ากระทำชั่ว ด้วยเหตุนี้จึงถูกพันธนาการเอาไว้ในห้วงเวลาอันเนิ่นนาน จวบจนหลังจากเวลาผันผ่าน ในที่สุด…วันนี้พวกเราก็หาเจอ และจะถ่ายทอดมันอย่างสมบูรณ์แบบต่อหน้าพวกเจ้า’
น้ำเสียงของคำพูดนี้ฉายความเก่าแก่โบราณ เหมือนดังมาจากในห้วงเวลา แฝงด้วยความทอดถอนใจ แฝงด้วยความสะท้อนใจ
‘หวังว่าทุกคนในแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญหรือคนธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์อะไร พวกเจ้าที่ตกอยู่ในวังวนชะตาชีวิตอันน่าทุกข์ระทมทุกชาติทุกภพ จงจำภาพบันทึกเงาเคลื่อนไหวอันล้ำค่าเป็นอย่างยิ่งนี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ
‘เพราะหลังจากครั้งนี้ ภาพเงาเคลื่อนไหวฉากนี้ก็จะถูกเทพเจ้าพันธนาการเอาไว้อีกครั้ง’
เสี้ยวขณะนี้ ลมพัดแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา!
คนทั้งหลายในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ไม่ว่าจะตำแหน่งใด ไม่ว่าตัวจะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใด ในเสี้ยวขณะนี้ ในสมองต่างมีภาพปรากฏขึ้น มีเสียงดังขึ้น
ภาพนี้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง เสียงนี้ไม่มีคลื่นแทรกใดๆ ทั้งนั้น
ทุกอย่าง ด้วยวิธีที่กะทันหันทั้งยังแข็งแกร่งเช่นนี้ ปรากฏขึ้นแล้ว
ในตอนแรก คนมากมายล้วนอึ้งตะลึง แต่ไม่นานนัก ในยามที่สังเกตเห็นว่าคนข้างๆ ก็งงงันไปเช่นกัน หลังจากที่รู้ว่าคนข้างๆ ก็มีภาพนี้ผุดขึ้น ความหวาดกลัวก็พลันผุดขึ้นมา สิ่งที่ตามมาจากนั้นก็คือระลอกคลื่นอารมณ์
ระลอกคลื่นเช่นนี้ แผ่ลามไปในเผ่าพันธุ์ทุกเผ่า ตลอดจนเมืองทุกเมือง คล้ายพายุที่ไม่เคยมีมาก่อนลูกหนึ่ง ปกคลุมไปทั้งแผ่นดินใหญ่
บางเมือง หลังจากความบ้าคลั่งและความสิ้นหวังเมื่อก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนเป็นที่รกร้าง คนที่เหลือรอดในนั้นตกอยู่ในความเฉยชาไปนานแล้ว และพายุลูกนี้ก็ทำให้จิตใจที่เฉยชาของพวกเขาสั่นไหวขึ้นมา
พวกเขาเดินออกมาจากในพื้นที่รกร้างด้วยสภาพเสื้อผ้าขาดวิ่น เผยเงาร่างออกมาจากในถ้ำ กระเสือกกระสนดิ้นรนจากในโครงกระดูก มองท้องฟ้าอย่างงุนงงสับสน
เงาร่างเช่นนี้มีไปทั่วทุกที่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา บ้างอยู่ลำพังโดดเดี่ยว บ้างอยู่เป็นกลุ่ม
ในป่ารกร้างยังมีประชาชนผู้ประสบภัยอีกมากมาย แต่เดิมพวกเขาเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเงียบงัน ไม่มีเป้าหมาย และไม่รู้ว่าจะไปที่ใด กระทั่งว่าเดินๆ ไป ก็จะมีคนเลือกที่จะนอนลง แล้วหลับตา
แต่ตอนนี้ จากภาพที่ปรากฏในหัว ในใจของพวกเขาก็สั่นไหวขึ้นมา
แล้วยังมีบางเมือง เนื่องจากตั้งอยู่ในเผ่าพันธุ์ใหญ่ แม้จะเคยบ้าคลั่งมาก่อน แต่ก็นับว่าสุขสงบ ทว่า การใกล้มาเยือนของชื่อหมู่ สิ่งที่ลอยอยู่ในจิตใจของพวกเขาราวดาบเล่มหนึ่ง
พวกเขาที่อยู่ใต้ปลายดาบ ทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมเท่านั้น
ไม่อาจขัดขืน และไม่กล้าดิ้นรน ทว่าการปรากฏขึ้นของภาพและเสียงก็ทำให้จิตใจที่ด้านชาของพวกเขา กระเพื่อมเช่นกัน
และสิ่งที่น่าตื่นตะลึงกว่านั้น ความจริงเป็นผู้บำเพ็ญแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ พวกเขาอยู่ในสถานที่ต่างๆ บ้างก็เป็นหัวหน้าเผ่า บ้างก็เป็นผู้แข็งแกร่งของสำนัก
แม้พวกเขาจะหวาดกลัวการปรากฏขึ้นของดาวพระจันทร์สีชาดเมื่อหนึ่งเดือนก่อน แต่จิตใจที่ยังคงต่อต้าน จับกลุ่มกันเป็นกลุ่มต่อต้านกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
เพียงแต่…ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์จะเป็นเช่นนี้เสียทุกคน ผู้บำเพ็ญส่วนมากความจริงแล้วไม่มีความกล้าต่อต้านเทพเจ้า
หากไม่ต่อต้านอย่างน้อยก็ยังมีชีวิตรอดไปวันๆ จนชื่อหมู่มาเยือนได้ แต่ต่อต้าน…ก็อาจจะตายได้ในเสี้ยวพริบตาท่ามกลางการต่อสู้กับตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด
ดังนั้น การปรากฏขึ้นของภาพนี้ สำหรับพวกเขาแล้วมีอิทธิพลเป็นอย่างมาก
อิทธิพลเช่นเดียวกันนี้ก็แผ่ซ่านไปในใจของผู้บำเพ็ญตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดเช่นกัน
ดังนั้น ท่ามกลางการจับตามองของคนทั้งหลาย ละครฉากใหญ่นี้ก็เปิดม่านอย่างเป็นทางการ
ในภาพ ท้องฟ้าราวเกล็ดปลา กระเพื่อมแผ่ระลอกเป็นชั้นๆ เมฆโลหิตนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จับกลุ่มรวมตัว จวบจนปกคลุมไปทั่วม่านฟ้า คล้ายว่ามีคนสร้างคุกเลือดบนท้องฟ้า
สายฟ้าฟาดผ่าครืนครันสะท้อนก้อง สายอัสนีสีดำแต่ละทางๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางการปะทะกันบนชั้นเมฆ เชื่อมต่อกันเป็นผืน ราวประตูคุกเลือด
และแผ่นดินก็เป็นสีเลือดเช่นกัน จะเห็นโครงกระดูกนับไม่ถ้วนกองทับซ้อนกันจนเป็นภูเขาเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าลูก
ภูเขาทุกลูกสูงถึงพันจั้ง
พวกมันตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดิน รายล้อมเป็นชั้นๆ ก่อเป็นค่ายกลขนาดมหึมาค่ายกลหนึ่ง
เลือดมหาศาลไหลมาจากภูเขาโครงกระดูกเกือบหมื่นลูกแห่งนี้รวมมายังใจกลาง เกิดเป็นทะเลสาบสีเลือดขนาดมหึมาที่ตรงนั้น
ในทะเลสาบ มีผู้หญิงคนหนึ่ง ครึ่งตัวอยู่ในทะเลสาบสีเลือด หันหลังให้กับคนทั้งหลาย กำลังชำระล้างร่างกายของตัวเอง
นางมีเรือนผมยาว ผิวขาวราวหิมะ เงาแผ่นหลังเต็มไปด้วยความเย้ายวน ใช้เลือดสดๆ ชำระล้างร่างกายพลางร้องขับขานบทเพลงสะท้อนก้อง
‘มีคนผันตนให้กลายเป็นอิสระ ฝ่าปะทะลมคลื่นไล่ตามหา
‘ห้อตะบึงมุ่งหน้าสู่จันทร์สีชาดห้วงสมุทร เหยียบย่างไปทั่วแผ่นดินไพศาล
‘ผู้คนสร้างมโนภาพวัฏสงสาร สรรพสิ่งล้วนกินเลือดเนื้อเป็นอาหาร
‘แสงอาทิตย์ร้องแรงแผดเผาทำร้ายดวงตา แต่ไม่อาจฝังกลบความฝันได้
‘ข้าเงยหน้ามองไปยังผืนนภาเวิ้งว้าง เหนือจันทร์สีชาดนั่น… ข้ากำลังโบยบิน!’
เสียงเพลงดังระเรื่อยไปทั่วทุกทิศ ในเสียงแฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่น แฝงด้วยความดื้อดึง คล้ายว่าเต็มไปด้วยความฝัน
เพียงแต่ข้างหลังของฝันในยามตื่นเป็นภูเขาโครงกระดูกเกือบหมื่น เป็นโครงกระดูกของสรรพชีวิตนับไม่ถ้วน ตลอดจนดนตรีประกอบของเพลงนี้
นั่นเป็นเสียงร้องไห้
เสียงครวญคร่ำไม่สิ้นสุดคือท่วงทำนองของความฝันนี้
จินตนาการได้ว่า เส้นทางตามหาความฝันที่นางเดินมา ภูเขาโครงกระดูกเช่นนี้ไม่ใช่ที่นี่แค่ที่เดียวอย่างแน่นอน



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา