บทที่ 68 แต่ละคนล้วนไม่ง่าย
จากเสียงก้องสะท้อนของหลี่จื่อเหมย สวี่เสี่ยวฮุ่ยในห้องส่วนตัว ก็อดถลึงตาโตขึ้นมองไปทางสวี่ชิงไม่ได้
ไม่แปลกที่นางจะมองไม่ออก อันที่จริงสวี่ชิงในความทรงจำนางคือคนที่สกปรกมอมแมมไปหมดทั้งตัว
ทว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องส่วนตัวตอนนี้ ร่างสูงผมตรงยาวทิ้งตัวเหมือนต้นสนเผยความสง่างามเกินบรรยาย โดยเฉพาะใบหน้าที่ชวนให้ลุ่มหลงนั่น
หล่อเหลาเอาการ
ใบหน้างามราวรูปสลัก องคาพยพคมชัดเป็นสัดส่วน ดวงตาเย็นชาเรียวยาวมืดมิดลุ่มลึกใต้คิ้วกระบี่เผยประกายสง่างามและพลังวิญญาณออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้คนไม่กล้าดูถูกหยามหมิ่น
“ข้าเอง” สวี่ชิงพยักหน้า
สวี่เสี่ยวฮุ่ยใบหน้าแดงระเรื่อ หยิบจอกสุราดื่มลงไปเพื่อกลบเกลื่อนระลอกคลื่นในใจ
โจวชิงเผิงที่หัวเราะร่าอยู่ข้างๆ ก็ลุกมาเชื้อเชิญให้เข้ามา
“ศิษย์น้องสวี่ชิง มานั่งเถอะ”
สวี่ชิงเห็นพวกเขา ประสานหมัดตามมารยาทจากนั้นจึงนั่งลงด้านหนึ่ง สายตาก็กวาดมองคนทั้งสาม เมื่อเทียบกับความเย็นชาและความโหดร้ายที่แฝงอยู่ในสำนักแล้ว ศิษย์สามคนนี้ที่เข้าร่วมสำนักพร้อมเขากลับยังเหลือความอบอุ่นอ่อนโยนอยู่เล็กน้อยอย่างชัดเจน
แต่ด้วยสภาพแวดล้อมของสำนักก็เปลี่ยนแปลงพวกเขาไปบ้างเช่นกัน อย่างโจวชิงเผิงแม้ใบหน้าจะยิ้มละไม แต่สวี่ชิงก็มองเห็นความเหนื่อยล้าที่แฝงอยู่ในสีหน้า
โดยเฉพาะบนตัวเขายังแฝงความกร้านโลกเล็กน้อย ซึ่งนี่คือการเติบโตหลังจากที่ผ่านเรื่องราวบางอย่างมา
ส่วนสวี่เสี่ยวฮุ่ย สวี่ชิงยังอธิบายการเปลี่ยนแปลงของนางไม่ได้ เขาแค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูคล้ายกับหญิงสาวกระโจมขนนกในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดมากขึ้นเรื่อยๆ
มีเพียงหลี่จื่อเหมยที่เปลี่ยนไปไม่มากนัก เพียงแต่ในความน้อยเนื้อต่ำใจกับความระแวง ดวงตานางมีความระแวดระวังกับความรอบคอบยิ่งกว่า ราวกับว่าใครก็ตามที่ปรากฏตัวรอบๆ ล้วนระแวงไปหมดทั้งสิ้นสำหรับนาง
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ถึงแม้ส่วนใหญ่สวี่ชิงจะนิ่งงันไม่พูดจา แต่บรรยากาศในห้องก็ยังอบอวลไปด้วยความรู้สึกที่เข้ากันได้จากการที่ทุกคนพูดคุยสัพเพเหระ ถึงอย่างไรสำหรับพวกเขาแล้ว ช่วงเวลาที่เข้าสำนักก็ยังผ่านไปไม่นานนัก
เพียงแต่ส่วนใหญ่จะเป็นเสียงพูดคุยหัวเราะของโจวชิงเผิงกับสวี่เสี่ยวฮุ่ย หลี่จื่อเหมยก็เป็นอย่างสวี่ชิง เลือกที่จะนิ่งเงียบ บางครั้งมองมาทางสวี่ชิงก็เห็นความอึดอัดและน้อยเนื้อต่ำใจบนสีหน้านางได้ชัดเจน
เพียงไม่นาน โจวชิงเผิงที่ดื่มไปหลายจอกก็เอ่ยขึ้นอย่างปลงอนิจจัง
“อันที่จริงก่อนที่จะเข้ามาที่นี่ ข้าก็พอรู้เรื่องราวของสำนักอยู่บ้าง แต่พอเข้ามาจริงๆ ถึงพบว่าสิ่งที่ได้ยินกับสิ่งที่ได้สัมผัสกับตัวนั้นคนละเรื่องกันเลย ในเมืองเจ็ดเนตรโลหิต…หากคิดจะใช้ชีวิตให้สุขสบายหน่อยมันยากเสียเหลือเกิน ประมาทพลาดพลั้งเพียงนิดก็ตายได้เลยเช่นกัน
“พวกเจ้าก็น่าจะรู้สึกเหมือนกันกระมัง…ศิษย์น้องสวี่ชิง ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าอยู่หน่วยใด ข้าอยู่กรมคุ้มกันสมุทร เสี่ยวฮุ่ยเองก็มีความสามารถ แค่เวลาสั้นๆ ก็แลกเรือเวทมาได้แล้ว ถูกส่งตัวไปกรมเคลื่อนย้าย”
สวี่เสี่ยวฮุ่ยข้างๆ พอได้ยิน รอยยิ้มก็ซับซ้อนเล็กน้อย พยักหน้า
“ข้าอยู่ที่กรมปราบพิฆาต” สวี่ชิงไม่ค่อยคุ้นเคยกับบรรยากาศในนี้อยู่บ้าง เพราะมันทำให้เขารู้สึกขัดแย้งกับความเย็นชาโหดร้ายของคนภายนอก จึงเอ่ยตอบขึ้นมาเสียงเบา
“กรมปราบพิฆาต?” สวี่เสี่ยงฮุ่ยดวงตาเป็นประกายขึ้นมา
แววตาหลี่จื่อเหมยที่อยู่ข้างๆ ก็เผยความอิจฉาอยู่บ้างเช่นกัน ถึงแม้ปัจจุบันนางจะไม่ได้แต่งตัวเป็นคนเก็บกวาดสกปรกมอมแมมแล้ว เมื่อเทียบกับสวี่เสี่ยวฮุ่ย ก็ยังคงธรรมดาแสนสามัญ ดังนั้นจังหวะที่ก้มหน้าลงจึงมีอยู่มาก
สำหรับนางแล้ว สี่คนรุ่นเดียวกันนี้ ทั้งสามคนล้วนมีเรือเวทกันหมด มีเพียงตนเองที่ยังคงเป็นเช่นเดิม สิ่งนี้ทำให้นางที่นั่งอยู่ที่นี่รู้สึกแรงกดดันมาก
“ที่แท้ศิษย์น้องสวี่ชิงก็ไปที่กรมปราบอาฆาตนี่เอง หลายวันก่อนกรมพวกเจ้าทำการใหญ่นี่ ศีรษะของพวกนกเขาราตรีแขนอยู่ที่กำแพงเมืองนับพันหัวเชียว หลายวันนี้ทุกคนก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์กัน จริงสิ ด้วยพลังเลือดลมหลอมเป็นเงาตอนที่ทดสอบเข้าสำนัก ปฏิบัติการนั้นของพวกเจ้า เจ้าเองก็คงเข้าร่วมด้วยใช่หรือไม่”
เมื่อโจวชิงเผิงได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ครั้งที่แล้วที่เขาเห็นสวี่ชิงก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณบนตัวสวี่ชิงได้ ที่ได้พบเมื่อครู่เองก็เห็นว่าเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นบ้างแล้ว จึงลองเอ่ยหยั่งเชิงดู
“แต่ว่าอันที่จริงภารกิจใหญ่ขนาดนี้ก็เสี่ยงมาก ศิษย์น้องสวี่ชิงถึงแม้จะฝึกกายาได้ไม่เลว แต่ถึงอย่างไรวิชาเวทต่างหากถึงจะเฉียบคมที่สุด พวกเราในฐานะศิษย์ใหม่ที่เพิ่งจะเข้าสำนัก การพยายามเอาตัวรอดกับฝึกบำเพ็ญต่างหากที่สำคัญ หลังจากนี้มีโอกาสอีกมากให้พวกเราได้สำแดงความสามารถ”
สวี่ชิงมองโจวชิงเผิงผาดหนึ่ง มองการหยั่งเชิงของอีกฝ่ายออก อันที่จริงเขาก็รู้สึกว่าในรุ่นสามคนนี้ นิสัยใจคอดีมาก ไม่ค่อยมีความคิดเลวร้าย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่เขายอมมาที่นี่นอกเหนือจากเรื่องแมงดาพรายปรารถนา
ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า ไม่พูดอะไร
“กรมปราบพิฆาตยอดเขาลำดับเจ็ดก็เหมือนกับกรมคุ้มกันสมุทรของพวกข้าที่ภายในล้วนมีแต่คนเก่ง จริงสิศิษย์น้องสวี่ชิง ได้ยินว่าในระหว่างปฏิบัติการครั้งนี้กรมปราบพิฆาตของพวกเจ้ามีคนยอดเยี่ยมปรากฏตัวออกมาด้วย
“เหมือนว่าในหน่วยนิลกาฬกรมปราบพิฆาตของพวกเจ้ามีคนเก่งนี่ ชื่ออะไรข้าก็ไม่รู้ แต่ได้ยินว่าคนผู้นี้สังหารหัวหน้าศัตรูรวมปราณขั้นบริบูรณ์ เป็นคนเดียวที่ไม่ได้อยู่ระดับหัวหน้าแต่สังหารหัวหน้าศัตรูลงได้ในปฏิบัติการครั้งนี้ ดูท่าคงต้องถึงคัมภีร์แปรสมุทรขั้นสุดยอดก่อนจึงจะทำได้ คุณงามความดีเช่นนี้ เห็นว่าจะได้เลื่อนขั้นด้วย”
โจวชิงเผิงทอดถอนใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความเคารพชื่นชม ประโยคนี้ไม่ใช่การหยั่งเชิงอีกแล้ว แต่เป็นความอิจฉาอย่างแท้จริง
จากที่เขารู้ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะเกี่ยวข้องกับสวี่ชิง ถึงแม้สวี่ชิงฝึกกายาจะแข็งแกร่งมาก เลือดลมหลอมเป็นเงา แต่หลังจากโจวชิงเผิงได้ฝึกบำเพ็ญคัมภีร์แปรสมุทรถึงตระหนักได้ว่า ความเฉียบคมของวิชาเวทคัมภีร์แปรสมุทรสามารถสังหารฝึกกายาได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะในสถานที่อย่างกรมปราบพิฆาตที่ผู้แข็งแกร่งก็มีอยู่เต็มไปหมด
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะสังเกตเห็นว่าคลื่นพลังวิญญาณคัมภีร์แปรสมุทรของสวี่ชิงในร้านขายยาก่อนหน้าแข็งแกร่งมาก แต่ยังเชื่อมโยงกับเรื่องที่โดดเด่นในกลุ่มผู้แข็งแกร่งกรมปราบพิฆาตจนสังหารหัวหน้าศัตรูรวมปราณขั้นบริบูรณ์ไม่ได้
“ข้าเองก็ได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน หลายวันมานี้ลือกันถ้วนทั่ว เหมือนว่าจะเป็นหน่วยนิลกาฬกองที่หก” สวี่เสี่ยวฮุ่ยที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะคีบกับข้าวให้สวี่ชิงกับโจวชิงเผิง
หลายวันนี้ศิษย์ของหน่วยต่างๆ ในยอดเขาลำดับเจ็ดก็ล้วนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ปฏิบัติการรวบหัวรวบหางนกเขาราตรีของกรมปราบพิฆาตอยู่จริงๆ โดยเฉพาะเรื่องคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในปฏิบัติการครั้งนี้ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปแล้ว
สวี่ชิงรู้สึกเกินคาด หลายวันนี้เขายุ่งอยู่กับการหาโอกาสสังหารเด็กหนุ่มเผ่าเงือกจนไม่ได้สนใจเรื่องอื่น ตอนนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องเล่าลือของโลกภายนอก และเป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่าจะถูกเลื่อนขั้น
“ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราหรอก สำหรับพวกเราแล้ว…การมีชีวิตรอดต่อไปถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ”
โจวชิงเผิงถอนใจ ลูบไปที่ขาของตนเอง ตรงนั้นมีบาดแผลที่ยังไม่สมานกันอยู่ จากนั้นเขาก็เงยหน้ามองไปยังสวี่ชิงที่นิ่งเงียบอยู่ตลอด เอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง
“ศิษย์น้องสวี่ชิง เจ้าเองก็อย่าทำตัวสันโดษนักเลย นิสัยนี้ของเจ้าต้องแก้เสียหน่อยนะ ต้องรู้จักทำตัวยืดหยุ่น คอยหาของกำนัลไปให้กับพวกเบื้องบนในกรมบ้าง อย่างนี้ถึงจะมีโอกาสได้รับการคุ้มครอง แล้วมีชีวิตที่สุขสบายมากขึ้น”
สวี่ชิงเมื่อได้ยินก็พยักหน้า เขาไม่ถนัดพูดคุย และไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ดังนั้นอาหารมื้อนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นการรับฟังเสียมากกว่า และโจวชิงเผิงเองก็ค่อยๆ ฟื้นกลับไปรูปลักษณ์ก่อนที่จะเข้าสำนัก ยกจอกส่งเสียงครื้นเครงเพื่อปรับบรรยากาศ
และระหว่างนี้ โจวชิงเผิงก็ดื่มไปมากแล้วอย่างเห็นได้ชัด โอ้อวดผลงานของตนเองออกมา
อย่างเช่นในกรมคุ้มกันสมุทรของเขาตอนนี้เชื่อมสัมพันธ์กับเบื้องบนกลมกลืนไปถึงขั้นใดแล้ว ในกรมคุ้มกันสมุทรรู้จักเพื่อนไปเท่าไรแล้ว ได้รับความสะดวกสบายเช่นไรบ้าง กระทั่งดูแลเรื่องเส้นสายเลื่อนขั้นให้กับสวี่เสี่ยวฮุ่ยด้วย
แน่นอนเขาเองก็ไม่ลืมที่จะคอยเตือนสวี่ชิงให้แก้นิสัยอยู่บ่อยครั้ง แล้วก็คอยถามไถ่ทางหลี่จื่อเหมยว่าต้องการการช่วยเหลืออะไรจากกรมคุ้มกันสมุทรหรือไม่ จะแนะนำให้
“นายกองรับปากข้าไว้แล้ว ขอแค่ทดสอบครั้งนี้ข้าได้ผลลัพธ์ดีสักหน่อย ก็จะแนะนำกับศิษย์พี่ติงเซียวไห่ให้ ศิษย์พี่ติงพวกเจ้าคงรู้จักสินะ นั่นคือคนที่ถูกเรียกเป็นผู้ฝึกปราณอันดับหนึ่งแห่งเจ็ดเนตรโลหิตของพวกเราเลยนะ” โจวชิงเผิงภูมิอกภูมิใจอย่างมาก สวี่เสี่ยวฮุ่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มประจบ ทำให้บรรยากาศในห้องส่วนตัวนี้ยิ่งกลมเกลียวยิ่งขึ้น


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา