บทที่ 69 ยุติธรรมสมเหตุสมผล
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เดือนสิบผ่านไปกว่าครึ่งแล้ว
เดิมควรจะเป็นฤดูที่หนาวเย็น แต่เพราะตำแหน่งสภาพภูมิศาสตร์ของเมืองเจ็ดเนตรโลหิตที่อยู่ใกล้ทะเล ดังนั้นช่วงกลางวันจึงยังคงร้อนระอุ
มีเพียงช่วงกลางคืนที่ลมจะเปลี่ยนเป็นหนาวเหน็บ ทะเลก็ราวกับมีความมืดมิดที่ฝังอยู่ใต้ท้องทะเลแผ่ซ่านมาตามแสงจันทร์ ลอดผ่านผืนน้ำแผ่เข้าปกคลุมฟ้าดิน แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของผู้บำเพ็ญทุกคนยามค่ำคืน ทำให้พวกเขาได้รับประสบการณ์อันโหดร้ายของฤดูหนาวล่วงหน้าเช่นกัน
เวลานี้ ลมทะเลพัดผ่านใบหน้า แสงจันทร์สาดส่องมายังท่าเรือ แผ่คลุมไปบนหินสีดำทุกตารางชุ่น และสาดลงไปบนตัวสวี่ชิงที่เสร็จงานของวันนี้แล้วและกำลังเดินไปทางท่าจอดเรืออย่างระแวดระวัง
สวี่ชิงเหยียบแสงจันทร์ ร่างกายเหยียดตรง ชุดนักพรตสีเทาพลิ้วไหวไปมาตามการเดินไปเบื้องหน้าราวกับเริงระบำไปพร้อมผมยาวของเขา มองไกลๆ เหมือนกับม้วนภาพเงาโดดเดี่ยวใต้แสงจันทร์อย่างไรอย่างนั้น
มีเพียงความหนาวเย็นในสายลมยามค่ำคืนเท่านั้น ที่ทำให้สวี่ชิงรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาบ้างตามจิตสำนึก
ที่หนาวไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นความทรงจำที่หลงเหลือเอาไว้ในถ้ำยาจก
เหมือนกับรอยเขม่าควันบนภาพม้วน แม้ว่าภาพวาดนี้จะถูกวาดจนเสร็จสิ้นแล้ว แม้ว่าจะถูกทาทับด้วยหมึกและติดกระดาษทับไว้ทำให้คนนอกมองไม่ออก แต่ตัวภาพวาดรู้ว่าร่องรอยของมันยังคงอยู่
สวี่ชิงถอนใจ เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นมาหน่อยในลมหนาวนี้
ตอนนี้ผ่านพ้นนับจากงานรวมตัวกับพวกโจวชิงเผิงเมื่อครั้งนั้นผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว
ครึ่งเดือนนี้สวี่ชิงยังคงไปเข้าเวรที่กรมปราบพิฆาตเช่นเคย การเลื่อนขั้นที่โจวชิงเผิงพูดถึง เขาไม่ได้รอ และไม่ได้สนใจด้วย
เพราะสำหรับสวี่ชิงแล้ว พลังบำเพ็ญต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในช่วงนี้
คัมภีร์แปรสมุทรของเขามาถึงขั้นเจ็ดสูงสุดแล้ว ห่างจากจุดทะลวงขั้นอีกไม่ไกล
เคล็ดคีรีสมุทรเองก็เช่นกัน ใกล้จะถึงขั้นแปด
นี่ทำให้สวี่ชิงคาดหวังอย่างมาก
เขารู้สึกว่าจากพลังต่อสู้ของตนเองในปัจจุบัน หลังจากที่คัมภีร์แปรสมุทรกับเคล็ดคีรีสมุทรไปถึงขั้นแปดแล้วทั้งคู่ หากเผชิญหน้ากับตนเองก่อนมาถึงสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็น่าจะสังหารในพริบตาได้โดยไม่มีรอยขีดข่วน
กระทั่งต่อให้พบกับบรรพชนสำนักวัชระอีกครั้ง สวี่ชิงก็รู้สึกว่าแม้ตนเองจะยังล้มอีกฝ่ายไม่ได้หลังจากขั้นแปด แต่ถ้าร่วมมือกับเงา ลอบโจมตีด้วยกำลังทั้งหมดก็มีโอกาสต้านทานเขาได้ระดับหนึ่งแน่
“ใกล้แล้ว…”
สวี่ชิงหรี่ตาลง ศัตรูที่เขาต้องรีบสังหารให้ไวที่สุด นอกจากบรรพชนสำนักวัชระแล้ว ยังมีเด็กหนุ่มเผ่าเงือกคนนั้นอีก
คนแรกเขารู้สึกว่าคงใช้เวลาไม่นาน ตนเองก็จะมีกำลังในการสังหารเขา ส่วนคนหลังเขาก็กำลังหาโอกาส
เพียงแต่น่าเสียดาย ครึ่งเดือนนี้ เขาแอบสะกดรอยตามเด็กหนุ่มเผ่าเงือกอยู่แทบจะทุกวัน แต่ข้างกายอีกฝ่ายก็มีผู้คุ้มครองอยู่ตลอด ลงมือได้ยากมาก
บางครั้งอีกฝ่ายก็ออกไปข้างนอกคนเดียวเหมือนนายกองทั่วไป แต่กลับใช้ของวิเศษปิดบังกลิ่นอายและร่างเงา จนไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง
สวี่ชิงค้นหาอย่างลำบาก แต่เขาก็ยังมีความอดทน พินิจไปรอบหนึ่ง เขาตระหนักได้ว่าต้องคิดหาวิธี ทิ้งสัญลักษณ์บางอย่างเอาไว้บนตัวอีกฝ่าย
“หลังจากนี้ถ้าเจอกับศัตรูที่เป็นเช่นนี้ ต้องทิ้งสัญลักษณ์เอาไว้”
สวี่ชิงพึมพำ จดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ เหมือนตอนที่เรียนรู้เรื่องจัดการศพในตอนแรก และเดินหน้าต่อ
เพียงไม่นาน เขาก็มาถึงท่าจอดเรือท่าที่เจ็ดสิบเก้า
และตลอดทางสวี่ชิงก็ไม่พบเข้ากับสายตาที่ชั่วร้าย ช่วงราตรีก็ไม่มีใครเข้ามารบกวน
แม้จะมายังเมืองเจ็ดเนตรโลหิตได้ไม่นาน แต่สวี่ชิงก็ค่อยๆ สร้างบารมีเล็กๆ น้อยๆ และบารมีนี้ทำให้คนที่คิดทำอะไรเขาน้อยลงไปพอควร ยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่ยังระมัดระวังขึ้นอย่างมากอีกด้วย
ตอนนี้เรือลำมโหฬารลำหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศจากการที่สวี่ชิงปล่อยเรือเวทออกมาในพริบตา ขณะร่วงกระแทกกับผิวน้ำส่งเสียงดังสนั่น และโหมคลื่นหลายระลอกกระจายไปรอบด้าน
มองไป ตัวเรือยาวยี่สิบกว่าจั้ง กว้างสามจั้งกว่า พลังน่าตกตะลึง
กระดานเรือดำขลับเปล่งแสงประกายสีดำใต้แสงจันทร์ เหมือนผสานรวมกับแสงเย็นเหยียบของเกล็ดนับไม่ถ้วนด้านข้างเข้าด้วยกัน ประกอบกับหัวจระเข้ขนาดยักษ์โหดร้ายที่หัวเรือ ก็ทำให้เรือเวทลำนี้ราวกับกลายเป็นจระเข้ยักษ์ตัวหนึ่งจริงๆ
โดยเฉพาะปากมโหฬารของหัวจระเข้ที่อ้าอยู่ ฟันคมกริบนับไม่ถ้วนรวมถึงประกายหม่นในดวงตา ก็ยิ่งเพิ่มแรงสั่นสะเทือนเข้าไปอีก
และเมื่อมองอย่างละเอียดก็จะเห็นเกล็ดข้างตัวเรือมีระดับสูงกว่าที่เคย กระทั่งขอบด้านในที่คนนอกมองไม่เห็นก็ล้วนมีเกล็ดปรากฏขึ้น
และยังมีกระดูกเรือพิเศษที่ทะลุผ่านทั้งตัวเรือ จนกลายเป็นจุดค้ำยันที่แกร่งยิ่งกว่าที่เคยเป็น
รอบด้านยังมีลมพัดวน ทำให้เรือเวทที่เหมือนอสูรยักษ์ลำนี้ แผ่กลิ่นอายที่ใช้สยบด้วยพลานุภาพได้ออกเป็นระยะ โดยเฉพาะในห้องเรือตอนนี้ก็ใหญ่ขึ้นมากเช่นกัน ด้านในมีจุดพักผ่อน มีจุดฝึกบำเพ็ญ กระทั่งสร้างห้องสมุนไพรขึ้นมาโดยเฉพาะจุดหนึ่งอีกด้วย
นอกเหนือจากนี้ บนตัวเรือนี้ยังมองเห็นแสงสีเขียวออกมาเป็นระยะ ทุกจุดที่แล่นผ่านราวกับสิ่งมีชีวิตกำลังแหวกว่ายทำให้ความทนทานของเรือเวทยิ่งแข็งแกร่ง
จุดสำคัญที่สุดก็คือบนดาดฟ้าเรือมีแอ่งขนาดยักษ์แอ่งหนึ่ง ด้านในถึงแม้จะยังไม่มีอะไร แต่ค่ายกลก็อัดแน่น เห็นได้ชัดว่าทำทิ้งเอาไว้ล่วงหน้า
สิ่งเหล่านี้สวี่ชิงจ่ายหินวิญญาณไปนับร้อยก้อน ใช้วัสดุระดับกลางสร้างขึ้นมาเป็นเรือเวทระดับหก!
และแอ่งที่ว่างเปล่าอยู่นั้น เขาก็ใช้หินวิญญาณอีกสิบก้อนจ่ายไปเป็นกรณีพิเศษ
เพราะเขามองวัสดุแบบเดียวกันไว้แล้ว นั่นก็คือกะโหลกชิ้นเล็กของวาฬยักษ์ หากใส่เข้าไปจะทำให้เรือเวทของเขาทะลวงจากระดับหกไปเป็นระดับเจ็ดบริบูรณ์ในด้านความแข็งแกร่ง
เพียงแต่กะโหลกวาฬนี้แพงมาก เป็นหนึ่งในวัสดุระดับสูงของเรือเวท
แน่นอนว่าราคาน่าตกตะลึง จำเป็นต้องใช้ถึงสองร้อยหินวิญญาณ
ราคานี้เกินจริงไปมาก สวี่ชิงมองอยู่หลายรอบในหลายวันนี้ แอบกัดฟันตัดสินใจควักเงินซื้อมันมา
“รอจนพลังบำเพ็ญทะลวงถึงขั้นแปด รอจนซื้อกะโหลกวาฬยักษ์นี้แล้วทำให้เรือเวทไปถึงระดับเจ็ด…ข้าก็จะออกทะเล!”
สวี่ชิงงึมงำ หลังจากตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เหยียบไปบนเรือเวท ไปยังจุดฝึกบำเพ็ญ นั่งลงขัดสมาธิบนเบาะรองนั่ง หลับตาฝึกบำเพ็ญ
ลมทะเลพัดโชยทั้งคืน ช่วงเช้าตรู่ก็ดูเหมือนจะอ่อนล้า ค่อยๆ หมดเรี่ยวแรงสลายหายไป สวี่ชิงลืมตาขึ้นจากแสงตะวันที่สาดเข้ามา เริ่มไปเข้าเวรในเช้าวันใหม่
พอไม่มีปฏิบัติการค้นหานกเขาราตรี งานของกรมปราบพิฆาตจึงว่างเสียส่วนใหญ่ มีแค่บางครั้งที่กรมลาดตระเวนเจอเรื่องที่จัดการไม่ไหว ก็จะมาขอความช่วยเหลือบ้าง
ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ สวี่ชิงเพิ่งมาถึงกรมปราบพิฆาต หลังจากที่รายงานตัวในลานกว้างของหน่วยนิลกาฬกองที่หก ก็รับงานที่กรมลาดตระเวนขอความช่วยเหลือมา
คนที่ออกปฏิบัติการมีไม่มาก พอรวมนายกองเข้าไปก็มีทั้งหมดหกคน
หลังจากออกจากกรมปราบพิฆาต สวี่ชิงกับสมาชิกคนอื่นก็รู้ว่าเป้าหมายการช่วยเหลือครั้งนี้ด้วยการบอกกล่าวของนายกอง คือกรมเคลื่อนย้าย
กรมเคลื่อนย้ายกับกรมทดน้ำ ในพื้นที่ท่าเรือนี้ถือเป็นกรมใหญ่ ฝ่ายแรกรับผิดชอบการจัดวางเคลื่อนย้ายของเรือที่สัญจรไปมา ส่วนฝ่ายหลังเป็นเหมือนแขนของการเคลื่อนย้าย รับผิดชอบนำเรือจากโลกภายนอกเข้ามาในท่าเรือ



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา