บทที่ 684 จมูกปากสมองแขนขาอวัยวะภายใน จงกลับมา
จากการเดินออกมาของสวี่ชิง อสูรโลหิตที่ราวกับกระแสน้ำบนสนามรบ ยิ่งกระสับกระส่าย คลื่นอารมณ์ดิ้นรนและหวาดกลัว เด่นชัดเป็นอย่างยิ่งบนตัวพวกมัน
พวกมันเปล่งเสียงคำรามออกมาตามสัญชาตญาณ แผงหนามบนร่างเสียดสีกันอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว ม่านตาในดวงตาสีเลือดแต่ละดวงหดเล็กลง ยิ่งมีบางตัวจิกพื้นดินดิ้นทุรนทุราย ร่างกายสั่นเทิ้ม
นี่คือการสะกดที่มาจากอำนาจพระจันทร์สีชาดอย่างหนึ่ง เหมือนสายโลหิต
ก่อนหน้านี้ มีเพียงชื่อหมู่รวมถึงบุตรเทวะเท่านั้นที่สามารถควบคุมอสูรโลหิตเหล่านี้ได้ ทำให้พวกมันขยับตามคำสั่ง คนนอกไม่อาจทำได้ แม้จะเป็นจักรพรรดิตำหนัก ก็ยังสั่งการมากเกินไปไม่ได้เช่นกัน
ทว่าตอนนี้ การปรากฏตัวของสวี่ชิง เขามีคุณสมบัติเดียวกับชื่อหมู่รวมถึงบุตรเทวะ
ตอนนั้นที่ทะเลทรายคราม สวี่ชิงเคยทดสอบแล้ว และตอนนี้พลังบำเพ็ญของเขาก็เพิ่มขึ้นมหาศาล พลังบำเพ็ญสมบัติวิญญาณหนึ่งสมบัติลับ ทำให้อำนาจพระจันทร์สีชาดของเขายิ่งใหญ่ขึ้น แรงกดดันไร้รูปร่างที่มาจากด้านบนก็ยิ่งชัดเจน
จากการเดินไม่กี่ก้าว สวี่ชิงก็ออกจากกระจกขบถจันทร์ ทั่วร่างมีหยดเลือดนับไม่ถ้วน รวมกันจนกลายเป็นคลื่นวนสีเลือดล้อมรอบกาย
ขณะที่โคจรครืนครัน กลิ่นอายด้านบนก็แผ่ซ่านสุดกำลังไปทั้งฟ้าดิน
ทันใดนั้น ท้องฟ้าแดงเข้มมากขึ้น แผ่นดินก็ถูกย้อมด้วยเลือด แต่แสงสีแดงนี้ สิ่งที่ผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดได้รับไม่ใช่การคุ้มครองและการประทานพร แต่เป็นความตกตะลึงและความพรั่นพรึงไร้ที่สิ้นสุด
ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดทุกคนที่เคยได้ยินเรื่องราวของสวี่ชิง สำหรับผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดส่วนใหญ่ อันที่จริงพวกเขาก็ยังไม่รู้เรื่องของสวี่ชิงมากนัก
ดังนั้นแสงสีแดงรวมถึงอำนาจที่แผ่ออกมาจากร่างสวี่ชิงเวลานี้ ยังมีแรงกดดันกายทิพย์ของบุตรเทวะด้วย ทำให้ผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดพรั่นพรึงกันหมด
ทุกคนใจสั่นสะท้าน หน้าเปลี่ยนสี ผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดเหล่านี้สัมผัสความศรัทธาในร่างกายที่กำลังปั่นป่วนอย่างควบคุมไม่ได้อย่างชัดเจน ราวกับกำลังบอกพวกเขาว่า คนตรงหน้านี้ คือหนึ่งในต้นกำเนิดความศรัทธา
ความรู้สึกไร้สาระนี่ทำให้ในใจผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดเกิดคลื่นหมื่นจั้งโถมขึ้นมาทันที
และเทียบกับพวกเขาแล้ว อสูรโลหิตที่เคลื่อนไหวด้วยลางสังหรณ์และสัญชาตญาณ ความคิดของพวกมันง่ายกว่ามาก ตอนนี้อสูรโลหิตทั่วทั้งแปดทิศสั่นสะท้านกันหมด
ความหงุดหงิดค่อยๆ สลายไป แทนที่ด้วยความศิโรราบ แต่ละตัวก้มหัวลงให้สวี่ชิง เผยความเชื่อฟังออกมา
มองไปยังท้องฟ้า ผืนดิน อสูรโลหิตนับไม่ถ้วนล้วนหมอบคลาน
อสูรโลหิตที่โหมเหี้ยมอำมหิตเหล่านี้ที่วิ่งออกมาจากนรกราวมารปีศาจ แต่ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกมันจะกระหายเลือด อำมหิต หิวโหยเพียงใด ตอนนี้…กลับก้มลงคารวะด้วยสัญชาตญาณ ราวกับเจอเจ้านายตน
และสวี่ชิงที่พวกมันคารวะ ยามนี้ยืนอยู่ด้านนอกกระจกขบถจันทร์ ผมยาวปลิวสยายไปกับสายลม
ใบหน้าหล่อเหลาที่สมบูรณ์แบบราวรูปสลักของเขาเจือแววเย็นชา พร้อมกับคลื่นวนสีเลือดนอกร่างกาย…
ทันใดนั้น กระทั่งมีคนร้องเสียงหลงขึ้นว่า
“บุตรเทวะ?”
สวี่ชิงตอนนี้ จะมองอย่างไรก็เหมือนกับบุตรเทวะไม่ผิดเพี้ยน
ใบหน้าจักรพรรดิตำหนักเคร่งขรึม จ้องสวี่ชิงเขม็ง ดวงตาฉายจิตสังหารวูบหนึ่งออกมา
สวี่ชิงไม่สนใจ เขายืนอยู่กลางอากาศเงียบๆ สายตากวาดมองอสูรโลหิตรอบๆ แผ่จิตเทพ ทำสัญลักษณ์ผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดในที่แห่งนี้
“กินพวกเขาเสีย”
พริบตาต่อมา อสูรโลหิตทุกตนก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน พลันหันมองผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดรอบๆ รวมถึงจักรพรรดิตำหนัก ดวงตาฉายแววกระหายเลือดและคุ้มคลั่ง ในปากส่งเสียงคำราม พุ่งออกไปฉีกทึ้งผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาด
สถานการณ์ในสนามรบตอนนี้กลับตาลปัตร เกิดเรื่องโกลาหลขึ้น เสียงกรีดร้อง เสียงตกตะลึง เสียงกราดเกรี้ยวดังขึ้นไม่หยุด
ทางด้านขบถจันทร์ ตอนนี้ทหารมีขวัญกำลังใจมากขึ้น มีการช่วยเหลือจากอสูรโลหิต แรงกดดันของพวกเขาจึงลดน้อยลงมาก เวลานี้หลังจากที่รูปขบวนใหม่อย่างรวดเร็ว ก็ร่วมต่อสู้ในสนามรบอย่างมีระเบียบ
ตอนนี้เอง เสียงอัสนีเสียงหนึ่ง ราวกับเป็นสายอัสนีสายแรกที่ผ่าแยกท้องฟ้าปฐพี ดังมาจากด้านในคราบร่างก่อนเป็นเทพของชื่อหมู่ และคราบร่างก่อนเป็นเทพของชื่อหมู่ก็หดตัวลง และขยายออกอย่างรวดเร็ว
ยังมีเสียงร้องแหลมดังลอดออกมาจากภายในลางๆ ด้วย
เห็นได้ชัดว่าสงครามด้านในคราบร่างก่อนเป็นเทพของชื่อหมู่ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเช่นกัน
ภาพนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดในที่แห่งนี้รู้สึกเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ต่างหน้าเปลี่ยนสี และสายตาของจักรพรรดิตำหนักก็ฉายแววเด็ดขาดขึ้นมาในที่สุด
เขาไม่คิดจะลงมือด้วยตนเองจริงๆ ในศึกที่เทือกเขาทนทุกข์ก่อนหน้านี้ ทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นกับวิธีการต่างๆ ของตำหนักขบถจันทร์อย่างยิ่ง และคำพูดของเสินเชวี่ยจื่อที่เคยกล่าวไว้ ก็ยิ่งทำให้ใจเขาไม่สงบ
โดยเฉพาะเรื่องดวงตาที่อีกฝ่ายกล่าวถึง ทำให้เขารู้สึกอยู่ไม่สุขอย่างยิ่ง ต่อให้เสินเชวี่ยจื่อตอนนี้จะตกอยู่ในอันตรายแต่เขาก็ไม่อยากเข้าใกล้สวี่ชิงทางนั้นตามสัญชาตญาณ
เพราะเด็กที่ยืนอยู่ข้างๆ สวี่ชิงคนนั้น คือเจ้าของดวงตาที่เสินเชวี่ยจื่อเอ่ยถึง
แม้หลังจากที่เขากลับมาก็มีการตรวจสอบแล้ว แต่ตำหนักขบถจันทร์ก็มาเร็วเกินไป ซ้ำบุตรเทวะยังเลือกทะลวงขั้น สิ่งนี้ทำให้เขาสืบเสาะทุกอย่างไม่ทัน
และที่สำคัญสุดคือ เมื่อครู่คนผู้นั้นส่งสื่อเสียงกับสวี่ชิง เขาก็ใช้วิธีพิเศษจนได้ยินมา…
ทว่าตอนนี้เขาไม่ลงมือไม่ได้แล้ว
แต่เขาก็ไม่ได้เข้าใกล้ และยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาฉายประกายเย็นเยียบ ยกมือขวาขึ้นชี้ท้องฟ้า
“ทะเลเพลิงสวรรค์!”
เมื่อจักรพรรดิตำหนักกล่าวออกมา ท้องฟ้าก็ครืนครัน ดาวเคลื่อนดาราคล้อย ม่านฟ้าเกิดไหลเคลื่อนราวสายน้ำ เหมือนท้องฟ้ากลายเป็นผ้าผืนหนึ่งที่ถูกโบกสะบัดอย่างรวดเร็ว เคลื่อนย้ายท้องฟ้าของเขตทะเลเพลิงสวรรค์มาเหนือเกาะแห่งนี้
ท้องฟ้าก็ปรากฏรอยแยกขนาดยักษ์รอยหนึ่งชั่วพริบตา เพลิงสวรรค์นับไม่ถ้วนทะลักออกราวกับน้ำตก ไหลลงมาครืนครัน และถูกจักรพรรดิตำหนักควบคุมรวมกัน กลายเป็นนิ้วมือขนาดยักษ์นิ้วหนึ่ง พุ่งไปยังกระจกขบถจันทร์
นี่คือการเคลื่อนย้ายท้องฟ้า!
แต่พลานุภาพของจักรพรรดิตำหนักยังไม่หมด เขามองสวี่ชิงด้วยสายตาเย็นชา จ้องนายกองข้างๆ สวี่ชิงเขม็ง จากนั้นทำปางมืออีกครั้ง ราบน้ำแข็งแดนเหนือแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราก็พลันสั่นไหว แผ่นดินเกิดการเปลี่ยนแปลง
จากการที่ความหนาวเย็นนั้นปรากฏขึ้นรอบๆ ชั้นน้ำแข็งที่ราบน้ำแข็งทางแดนเหนือทั้งหมดก็ถูกย้ายมาบนเกาะนี้
ยิ่งมีนิ้วที่เกิดจากการรวมตัวของชั้นน้ำแข็งอีกนิ้วหนึ่ง ลอยขึ้นมาจากพื้น ตรงไปยังกระจกขบถจันทร์

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา