บทที่ 703 มีคนใช้เวลาช่วงหนึ่งของข้าไป
ตอนนั้นในแดนต้องห้ามเซียน นายท่านเจ็ดพาลูกศิษย์ทั้งสองไปยังตำหนักเคล็ดวิชาเซียนแห่งหนึ่ง ท่ามกลางหน้ากากหนังมนุษย์มากมายในนั้นได้หยิบมาสองชิ้น มอบให้กับสวี่ชิงและเอ้อร์หนิว
หน้ากากหนังมนุษย์ทั้งสองล้วนเป็นวิชาเซียน
อันหนึ่งชื่อว่าสุนัขสวรรค์ เนื่องจากตรงกับบุคลิกอุปนิสัยของเอ้อร์หนิว ดังนั้นเขาจึงเอามันไป
อีกอันหนึ่งเดิมไม่เหมาะกับสวี่ชิงใช้ แต่เขาคำนึงถึงตัวเองมีศีรษะสหายที่ดีคนหนึ่ง ดังนั้นจึงเก็บเอาไว้
วิชานี้ชื่อว่าเมตตา
วิธีใช้ของมันเรียบง่ายอีกทั้งไม่ซับซ้อน ผู้ที่สวมหน้ากากหนังมนุษย์ชิ้นนี้ จะแทนที่สิ่งมีชีวิตที่มองไปและแบกรับทุกอย่าง
ในแผนการแต่เดิมของสวี่ชิงคือให้เจ้าศีรษะสวมหน้ากาก ในยามที่ตนเผชิญกับวิกฤตความเป็นตาย ให้มันมาแบ่งเคราะห์นี้ไป
เพียงแต่นับจากการเดินทางวันนั้นจนถึงวันนี้ สวี่ชิงยังไม่เจอกับโอกาสที่จะต้องใช้
จวบจนกระทั่งตอนนี้
และวิชาเซียนแม้จะมีความแตกต่างกับวิชาเทพไม่น้อย แต่สรุปแล้วก็เป็นวิชาที่แปลกประหลาดเหมือนกัน โดยเฉพาะนายท่านเจ็ดเคยบอกเอาไว้ จากบันทึกโบราณ วิชาประเภทนี้ชื่อเรียกจริงๆ ของมันในตอนนั้นชื่อว่าวิชาต้องห้าม
ภายหลังเรียกให้ดูสวย ถึงได้ตั้งชื่อเรียกใหม่ว่าวิชาเซียน
แต่สวี่ชิงก็รู้ถึงข้อเสียของวิชาเซียนเมตตานี้เหมือนกัน นั่นก็คือสายตาจะต้องมองไปถึงจะได้ และดีที่…การจ้องมองนี้ไม่จำเป็นต้องนานแค่เพียงผาดเดียวก็ได้
ดังนั้นแทบจะทันทีที่หน้ากากหนังมนุษย์สวมไปบนหน้าของจางซืออวิ้น สวี่ชิงก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย หลังจากที่สาตากวาดไปบนร่างของศิษย์พี่ใหญ่ก็หันหน้าไป จะสำแดงภาพที่สองในผลึกแก้วสีม่วงออกมา
แม้เขาจะไม่สามารถผลักดันให้เสี้ยวหน้าเทพเจ้าลืมตาได้อย่างสมบูรณ์ และถูกดูดเอาพลังชีวิตไปอย่างมหาศาล แต่นั่นเป็นเพราะภาพของเสี้ยวหน้าเทพเจ้าคุณสมบัติสายเลือดสูงเป็นอย่างยิ่ง
แต่รัฐทายาทรัฐม่วงครามในภาพที่สองเห็นได้ชัดว่าในด้านคุณสมบัติสายเลือดเทียบกับเสี้ยวหน้าเทพเจ้าแล้วมีระยะห่าง
ดังนั้นสวี่ชิงจึงสามารถลองสำแดงมันออกมาได้ และจุดสำคัญคือ สายตานั้นที่สวี่ชิงมองไปทางเฉินเอ้อร์หนิว
ระหว่างพวกเขามาถึงขั้นที่ไม่จำเป็นต้องพูด เพียงสายตาเดียวก็เข้าใจกันแล้ว ดังนั้น เอ้อร์หนิวไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น อ้าปากกว้างกัดไปที่แขนของสวี่ชิงทันที
กัดครั้งนี้ไม่ใช่การกลืนกิน แต่เป็นการเพิ่มพลัง
เพียงพริบตา พลังชีวิตที่มาจากเฉินเอ้อร์หนิงก็ทะลักเข้าไปในร่างสวี่ชิง แม้จะห่างชั้นกับถึงขั้นทำให้เทพเจ้าลืมตาได้อย่างสมบูรณ์อีกมาก แต่ช่วยให้สวี่ชิงสำแดงภาพที่สองออกมาได้ก็พอจะลองลุ้นได้อยู่
สวี่ชิงทั่วทั้งร่างสะท้านเฮือก แสงผลึกแก้วสีม่วงในร่างฉายวาบขึ้นมาทันที หลังจากส่องทะลุไปทั่วร่างกลายเป็นต้นกำเนิดแสงสีม่วง ก็แผ่แสงสีม่วงอันมากมายมหาศาลไร้จุดสิ้นสุดไปรอบๆ
เขาคิดหาวิธีอำพรางแสงสีม่วงได้ แต่สวี่ชิงไม่ทำ
ไม่เพียงแต่ไม่อำพราง กลับยังปลดปล่อยออกไปในขีดจำกัดสูงสุดด้วย ทำให้การไหลของแสงนี้เกิดประกายแสงที่คล้ายกับมงกุฎหนามบนศีรษะของจางซืออวิ้น
และทุกอย่างนี้พูดแล้วเหมือนเป็นเวลายาวนาน แต่ความจริงแล้วเกิดขึ้นเพียงแค่เสี้ยวพริบตาเท่านั้น จากการที่ทั่วร่างสวี่ชิงแสงสีม่วงส่องกะพริบ จางซืออวิ้นที่ถูกจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลสวมหน้ากากไปบนหน้าก็จิตใจสะท้านเฮือก
องค์ท่านในฐานะที่เป็นร่างแยกของชื่อหมู่ มีความรอบรู้ความสามารถทุกด้าน แต่…คุณสมบัติสายเลือดของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลเท่ากับองค์ท่าน ภายใต้การรบกวนจากจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล ก็ทำให้ความรอบรู้ความสามารถทุกด้านของจางซืออวิ้นช้าลง
การช้าลงนี้ในเสี้ยวขณะนี้อันตรายเป็นอย่างมาก
เพราะองค์ท่านไม่รู้ถึงคุณสมบัติของหน้ากากหนังมนุษย์ และสิ่งที่สำคัญคือ แสงสีม่วงบนร่างสวี่ชิงดึงดูดความสนใจขององค์ท่านอย่างรุนแรง และเหนี่ยวนำการโครจรของมงกุฎหนามบนศีรษะองค์ท่าน
ดังนั้นสายตาขององค์ท่านย่อมจับจ้องไป…บนร่างสวี่ชิงที่แผ่แสงสีม่วงไปตามสัญชาติญาณ
ทันทีที่มองไปบนร่างสวี่ชิง จางซืออวิ้นทั่วทั้งร่างสะท้านเฮือก องค์ท่านเห็นภาพหนึ่ง และหลอมรวมไปในภาพนั้น
ไม่ใช่แค่องค์ท่านที่เห็น ตอนนี้นายกองตลอดจนจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลที่ถอยหลังไป ต่างมองเห็นภาพที่ปรากฏในวังจันทราเช่นกัน
ท้องฟ้าถูกภาพนี้แทนที่ มืดสลัวไปทั่งแถบ ฝนเลือดโปรยปรายลงมาอีกครั้ง ท่ามกลางพื้นที่ร้างไปทั้งแถบบนพื้น สวี่ชิงยืนอยู่ตรงนั้น
ร่างของเขาซ้อนทับกับเงาร่างของเด็กชายที่ปรากฏอยู่ในภาพ
เด็กชายคนนั้นกำลังร้องไห้ สับสนทำอะไรไม่ถูก ไร้ที่พึ่ง ตื่นตระหนกหวาดกลัว อารมณ์ต่างๆ แผ่ลามมาจากบนร่างของเด็กชาย จากร่างของสวี่ชิง
และบนท้องฟ้าตอนนี้สายฟ้าแลบปลาบมา ไม่มีเสี้ยวหน้าเทพเจ้า ที่มีคือชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมยาวสีดำทั้งตัวคนหนึ่งเท่านั้น
หน้าตาของชายหนุ่มคนนี้งดงามเป็นอย่างยิ่ง คล้ายกับสวี่ชิงที่โตแล้วเป็นอย่างมาก เขายืนอยู่ตรงนั้น จ้องมองสวี่ชิง จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา เขาเดินทีละก้าวๆ มาจากท้องฟ้า
ฝนเลือดแยกออกข้างหน้าเขา ไม่ร่วงหล่นลงมาแม้แต่น้อย เขาเดินไปอย่างนี้ จนกระทั่งมาถึงข้างหลังสวี่ชิง ยกมือขึ้นอย่างแผ่วเบา แตะไปบนศีรษะของสวี่ชิงอย่างอ่อนโยน
“น้องพี่ อย่าร้องไห้”
ทันทีที่เสียงอ่อนโยนดังสะท้อน เด็กชายที่หลอมรวมกับสวี่ชิงกำลังจะหันมา แต่เสี้ยวขณะต่อไป…พลังทำลายล้างกลุ่มหนึ่งก็ปะทุขึ้นจากศีรษะของเขา
เสียงบึ้มดังขึ้น ศีรษะของเด็กชายระเบิด ร่างแหลกเละ กายและวิญญาณแตกดับ
พร้อมกันนั้นสวี่ชิงที่อยู่ทางนั้นก็สะท้านเฮือกไปทั้งร่างด้วย ทั่วทั้งร่างเกิดรอยแตกนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะศีรษะยิ่งเป็นเช่นนั้น ใกล้จะแตกเป็นเสี่ยงๆ ตามไปด้วย
ในตอนนี้เอง จางซืออวิ้นที่มองภาพนี้ ปากขององค์ท่านส่งเสียงร้องครวญครางน่าเวทนาออกมา มงกุฎหนามบนศีรษะแสงสีม่วงก็ฉายประกายวูบวาบท่วมฟ้าในเสี้ยวขณะนี้
องค์ท่านกำลังต่อต้าน!
ทุกอย่างที่สายตามองเห็นล้วนทะลักมาบนร่างขององค์ท่าน วิชาเซียนเมตตาแทนที่ความเจ็บปวด แทนที่อาการบาดเจ็บ แทนที่ความตาย
แทนที่ด้วยความเมตตา
ดังนั้นการแตกดับของเด็กชายในภาพ จึงส่งอิทธิพลไปยังจางซืออวิ้นทันที
เสียงครวญครางหวีดแหลม ดังก้องไปในโลก สั่นคลอนวังจันทรา จากการสับเปลี่ยนอาการบาดเจ็บ ร่างที่เพิ่งก่อขึ้นของจางซืออวิ้น หลังจากได้รับการบาดเจ็บจากเสี้ยวหน้าเทพเจ้าก่อนหน้านี้เดิมก็อยู่ในสภาวะที่อ่อนแอเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว
ตอนนี้ได้รับการทำลายล้างระดับนี้ ร่างขององค์ท่านก็แหลกสลายอีกครั้ง แตกเป็นเสี่ยงๆ ศีรษะเองก็เช่นกัน ในดวงตาฉายความเจ็บปวดและความไม่เข้าใจ ยิ่งมีความผิดหวัง
นี่คืออารมณ์ของเด็กชายคนนั้นในตอนที่ยังมีชีวิต


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา