บทที่ 720 หมู่ดาราสิ้นแสง ตะวันจันทราหลบเลี่ยง (2)
เมื่อสวี่ชิงกล่าวออกมา แสงกระบี่บุกเบิกผืนฟ้าทางหนึ่งวาดผ่าท้องนภา ลงมาจากฟากฟ้า
กระบี่นี้ ฟ้าถล่มดินทลาย ปราณทำลายล้างหมื่นเคล็ดวิชา
กระบี่นี้ หมู่ดาราสิ้นแสง ตะวันจันทราหลบเลี่ยง
ม่านฟ้าผ่าแยก ปรากฏรอยแตกขนาดใหญ่ มิติพังทลาย กลายเป็นหลุมดำ
แสง เสียง จิตวิญญาณ เจตจำนงทั้งหมด เสี้ยวขณะที่กระบี่นี้ปรากฏขึ้นล้วนถูกเหนี่ยวนำ ถูกหลุมดำกลืนกิน
ทุกสิ่งสลายไป กาลเวลาก็หยุดนิ่ง
มีเพียงแสงกระบี่นี้ที่ฟาดลงมาอย่างไร้สุ้มเสียง มาพร้อมความงดงามน่าพิศวง แฝงความไร้เทียมทาน ฟาดลงไปบนที่แผ่นหยกกลิ่นอายเตรียมสู่เทวะที่แผ่ออกมาในมือชายกลางคนบนช้างสีขาว
กลิ่นอายของอ๋องเทียนหลัน สลายไปทันที แสงสีทองหมองหม่น กลับเป็นปกติ
อักษรขนาดใหญ่สีทองที่ทำให้สรรพชีวิตหวาดผวาตรงหน้าชายกลางคนบนช้างสีขาวไม่อาจเปล่งแสงออกมาได้อีก เมื่อแสงกระบี่ฟันลงมาก็สลายไปตามกัน แตกเป็นเสี่ยงๆ ถูกพลังมหาศาลบดจนเป็นฝุ่นผง
ที่แตกไปพร้อมกัน ยังมีแผ่นหยกในมือชายกลางคนบนช้างสีขาวด้วย
แผ่นหยกที่แฝงโองการของอ๋องเทียนหลันเอาไว้ เกิดรอยแตกลามออกไปเรื่อยๆ ทันทีที่ลามไปทั้งชิ้น ก็สลายกลายเป็นผุยผง คละคลุ้งอยู่ที่ร่างชายกลางคนบนช้างสีขาว
ร่างของชายกลางคนบนช้างสีขาวสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม ในดวงตาฉายแววพรั่นพรึงอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน เขาเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าอย่างยากลำบาก
มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น แต่เขานึกภาพออก ว่าที่นั่นมีตัวตนเช่นไรอยู่
“ข้า…”
ชายกลางคนบนช้างสีขาวอ้าปากคล้ายจะกล่าวอะไร แต่ไร้โอกาส เมื่อสายลมพัด ร่างของเขาก็กลายเป็นฝุ่นผง ฟุ้งกระจายไปทั่ว
มีเพียงเขาที่ตาย ช้างสีขาวใต้ร่างเขาไม่มีแม้แต่ริ้วรอย แต่หวาดกลัวจนตัวสั่นหมอบลงไปทันที
ส่วนทหารเกราะสีเลือดรอบๆ ไม่มีใครบาดเจ็บจากกระบี่นี้
นี่คือผู้อาวุโสเก้า กระบี่ของเขาอยู่ในระดับสูงสุด ผ่านกองทัพมานับพัน เพียงคิดก็กวาดล้างทุกอย่างได้ ทว่าสังหารเพียงคนเดียว
เห็นได้ชัดว่า แม้ผู้อาวุโสเก้าจะลงมือ แต่ใจเขายังเป็นเผ่ามนุษย์ จึงไม่สังหารมากเกินไป
แต่ก็เพียงพอแล้ว
เสี้ยวขณะที่แสงกระบี่หายไป ชายกลางคนบนช้างสีขาวเป็นกลายเป็นฝุ่นผง ฟ้าดินก็เงียบสงดไม่หมด
ทหารเกราะสีเลือดรวมถึงผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการทหารเหล่านั้นร่างกายสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ทั้งสีหน้าและจิตใจล้วนถูกความตื่นกลัวรุนแรงแทนที่ กลายเป็นลมพายุลั่นครืนครันไปทั่วร่าง
พวกเขาเห็นกระบี่นี้แล้ว ก็ทราบความนัยของกระบี่นี้ดี และด้วยความกระจ่างแจ้งเช่นนี้ ทำให้ทุกคนสมองขาวโพลน เหลือเพียงความหวาดกลัว
ส่วนฝ่ายเขตปกครองผนึกสมุทรก็เช่นกัน ผู้ครองกระบี่ทั้งหมดรวมถึงผู้บำเพ็ญสามวังและยังมียอดฝีมือจากสำนักต่างๆ ที่ในใจโหมซัดกระหน่ำ ราวกับคลื่นใหญ่แปรเป็นคลื่นโหมอันน่าสะพรึงกลัว
เจ้าสำนักต่างๆ กลางอากาศรวมถึงเจ้าวังทั้งสาม ผู้ดูแลก็เป็นเช่นเดียวกัน ใจพวกเขาสั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มองสวี่ชิงด้วยสัญชาตญาณและไม่อยากเชื่อ
พวกเขาจำได้ว่าก่อนที่กระบี่สะท้านฟ้าสะเทือนดินนี้จะฟาดลงมา สวี่ชิงคารวะไปบนท้องฟ้า เรียกชื่อท่านปู่เก้าออกมา…
จื่อเสวียนก็อึ้งตะลึงอยู่ตรงนั้น มองไปทางสวี่ชิงอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย
ส่วนโหวเหยาทางนั้นในใจก็เกิดระลอกคลื่นเช่นกัน ตอนที่เขาเห็นตัวอักษรจี้ชางบนเรือของสวี่ชิงก็รู้สึกคุ้นๆ ในฐานะตระกูลโหวสวรรค์ แม้ตระกูลจะตกต่ำ แต่ก็มีบันทึกโบราณอยู่มากมาย
เมื่อนึกเชื่อมโยงถึงแผ่นดินใหญ่ที่สวี่ชิงไปก่อนหน้านี้ เขาก็คล้ายจะนึกขึ้นได้เลาๆ ว่านานมาแล้วที่แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา รัฐทายาทของเจ้าเหนือหัวคนสุดท้าย มีชื่อว่าหลี่จี้ชาง!
แล้วบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่เก้าคนนั้น เชี่ยวชาญกระบี่…
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ในใจโหวเหยาก็เต้นรัวเร็วอย่างยิ่ง
ส่วนนายท่านเจ็ด สีหน้าแปลกประหลาดอย่างยิ่ง เขามองท้องฟ้า สีหน้าทอดถอนใจเจือความโศกเศร้าเล็กน้อย จากนั้นก็คล้ายปล่อยวาง ส่ายหน้า และมองไปทางสวี่ชิงกับศิษย์คนโตของตัวเอง แทนที่ทุกอย่างด้วยความปลาบปลื้มในดวงตา
นายกองเห็นภาพนี้แล้ว สวี่ชิงไม่ได้ใส่ใจมากนัก ความสนใจของเขาอยู่ที่กองทัพเกราะสีเลือดที่กำลังสั่นเทาเหล่านั้น
ผู้อาวุโสเก้าไม่ยอมสังหารคนเหล่านี้ สำหรับสวี่ชิงก็ยากจะจัดการ ดังนั้นหลังจากที่เงียบนิ่งไป สวี่ชิงก็หันหน้าไปมองเรือ
หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูกำลังนั่งยองๆ อยู่ตรงนัน้ แอบประเมินโลกด้านนอก
เมื่อสังเกตเห็นสายตาสวี่ชิง หนิงเหยียนก็กะพริบตาปริบๆ ก้มใบหน้าขมขื่นลงไปตามสัญชาตญาณ ไม่กล้าสบตา แต่ก็อดลอบสังเกตสวี่ชิงไม่ได้
สวี่ชิงเห็นเช่นนี้ สายตาก็เย็นชา ขมวดคิ้วมุ่น
นายกองก็คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองไปเช่นกัน
หนิงเหยียนใจเต้นตุบๆ เขากลัวนายกอง แต่ที่กลัวที่สุดยังเป็นสวี่ชิง ถึงอย่างไรนายกองแค่กัดเขา แต่เมื่อรู้จักสวี่ชิงก็เกือบถูกฆ่าตาย
และตอนนี้ทั้งสองกำลังมองมาที่ตน หนิงเหยียนรู้ หากตนไม่เชื่อฟัง เกรงว่าผลลัพธ์คงไม่ดีเท่าไร จึงก้มหน้าถอนใจ กัดฟันกรอด ลุกขึ้นยืน เดินออกมาจากเรือ
อู๋เจี้ยนอูที่อยู่ข้างๆ กะพริบตาปริบๆ เขาย่อมรู้ว่าหนิงเหยียนจะทำอะไร จึงเริ่มแต่งกลอนในใจ
ส่วนการปรากฏตัวของหนิงเหยียน ในตอนแรกยังไม่ดึงดูดความสนใจเท่าไรนัก จนกระทั่งเขาเดินมาพร้อมกับปะทุสายโลหิต ก่อตัวกวานสีทองลอยขึ้นเหนือศีรษะ
ยิ่งมีมังกรทองสี่กรงเล็บอีกตัว จำแลงขึ้นมาขณะที่สายโลหิตนี้แผ่ขยายออกไปต่อเนื่อง เริงระบำในฟ้าดิน เงยหน้าเปล่งเสียงคำรามสะท้านฟ้าสะเทือนดินออกมา
เมื่อมังกรทองออกมา เสียงสั่นสะท้านทั่วสารทิศ ยิ่งมีชุดคลุมจักรพรรดิปรากฏขึ้นมาบนร่างหนิงเหยียน ทุกอย่างนี้ ทำให้หนิงเหยียนถูกสายตานับหมื่นจับจ้องมาในพริบตา


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา