เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 724

บทที่ 724 แบมือรับดวงอาทิตย์

หลังจากคารวะ ผู้นำพันธมิตรก็ก้มหน้าถอยออกมาอย่างนอบน้อม

ในระหว่างนี้ เขาสัมผัสได้ว่าองค์ชายเจ็ดที่นั่งอยู่บนที่สูงในตำหนักใหญ่ สายตาจับจ้องมาที่ตนตลอด

จึงไม่มีการปิดบังอารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้าแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นความอาลัยอาวรณ์ หรือการปล่อยวางรวมถึงความสุขุมในตอนท้าย ล้วนเปิดเผยออกมาทั้งหมด

กระทั่งออกจากตำหนักใหญ่ เดินออกมาไกลพอสมควร เขาถึงยืดตัวตรงอีกครั้ง เดินอมยิ้มไปยังที่พักของตัวเองในเมืองหลวงแห่งนี้

ระหว่างทางพบกับสหายที่คุ้นเคย เขาก็ทักทายอย่างอบอุ่น

ไม่ได้ทำตัวสง่าผ่าเผยเนื่องจากตนมีพลังบำเพ็ญหวนสู่อนัตตาขั้นสอง มองไม่เห็นการวางมาดเลยจากร่างของเขาแม้แต่น้อย

สีหน้าของเขาอ่อนโยนและสุภาพตั้งแต่แรก จนหลังจากกลับมาถึงที่พัก เขาจุดธูปดอกหนึ่ง นั่งลงหยิบกระดานหมากล้อมออกมา วางตัวหมากด้วยท่าทีสบายๆ อยู่คนเดียว

แต่หากมองอย่างละเอียด ท่ามกลางควันธูปอบอวลนั้น ส่วนลึกในดวงตาเขาแฝงความเยือกเย็นมืดหม่นที่มีมาแต่กำเนิดเอาไว้

ราวกับอสรพิษที่ซ่อนอยู่ในท้องลูกแกะ!

‘วันแรกที่ข้ามาถึงที่นี่ ก็รายงานเรื่องหลูติ่งกับองค์ชายเจ็ด แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจ…ทว่าวันนี้ จู่ๆ กลับเรียกข้าเข้าไป แล้วเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกครั้ง…’

มุมปากผู้นำพันธมิตรเผยรอยยิ้มอบอุ่น นี่คือสัญชาตญาณของเขา ทุกครั้งที่ขบคิด ต้องยกแย้มยิ้มที่มุมปาก

‘ผู้บัญชาการทหารนำทหารนับหมื่นตน อีกทั้งหลิงอวิ๋น…ขาดการติดต่อที่เขตปกครองผนึกสมุทร

‘ตอนนี้องค์ชายเจ็ดให้ข้าไปนำหลูติ่งมา…’

รอยยิ้มผู้นำพันธมิตรยิ่งอ่อนโยนขึ้น ความเยือกเย็นมืดมนที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของดวงตา ก็ยิ่งเร้นลับกว่าเดิม

เขาทราบดี ว่าองค์ชายเจ็ดไม่ใช่คนธรรมดา อีกฝ่ายอายุไม่มาก แต่ถือกำเนิดในราชวงศ์ เมื่อได้ดูได้เห็นและได้ฟังสิ่งต่างๆ นานวันเข้า ย่อมมีอุบายที่แยบยล

ดังนั้นจะมองเรื่องราวเพียงผิวเผินไม่ได้

‘โดยผิวเผิน ให้ข้าไปนำหลูติ่งมา ความจริงคือจะใช้ข้าเป็นตัวหมาก ยืมมือข้าสอดส่องสถานการณ์จริงที่เขตปกครองผนึกสมุทร จากนั้นเขาก็จะวิเคราะห์สาเหตุแท้จริงที่กองทัพใหญ่ขาดการติดต่อได้

‘ส่วนตัวเขาเอง จะรุกโจมตีหรือป้องกันก็ได้ทั้งสิ้น หากเกิดเรื่องกับข้า เขาก็แค่ตัดทิ้งไปเท่านั้น’

ผู้นำพันธมิตรหยิบตัวหมากขึ้น ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้วางลงไป แต่บนกระดานหมากล้อมกลับมีตัวหมากสองตัวจำแลงขึ้นมาเอง

ภาพนี้ดูเหมือนจะธรรมดา แต่หากมีหวนสู่อนัตตามองมา ใจจะจ้องโหมซัดแน่นอน เพราะในการเคลื่อนไหวที่เรียบง่ายนี้ แฝงการใช้และยกระดับกฎเกณฑ์แทบจะถึงจุดสูงสุด ก้าวข้ามหมื่นภาพเงามายาไปแล้ว

หวนสู่อนัตตาประกอบด้วยพันสายทลายฟ้า หมื่นภาพเงามายา ล้านความคิดเบิกนภา นิมิตเอกภาพ

‘ข้าชอบเลขสาม’

ผู้นำพันธมิตรหัวเราะเบาๆ อบอุ่นสุขุม

ขณะเดียวกัน เขตปกครองผนึกสมุทร ในแดนต้องห้ามเซียน เบื้องหน้าตำหนักหงส์

จากการที่ประตูใหญ่เปิดออก สีดำกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ไม่ใช่เพียงร่างเงาของสวี่ชิงกับจื่อเสวียน ทั้งความคิดของพวกเขาก็ล้วนถูกสีดำที่แผ่ซ่านมานี้ ผสานเข้าไปเป็นเนื้อเดียวกัน

ภาพที่ไม่รู้ว่าเป็นภาพมายาหรือเรื่องจริงภาพหนึ่ง ปรากฏขึ้นมาในสายตาพวกเขา

ตำหนักใหญ่ในสายตา เงียบสงัดว่างเปล่า เย็นเยียบราวคุกใต้ดิน

มีเพียงรูปสลักรูปหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางตำหนัก ราวกับถูกขังไว้ในกรง

รูปสลักนี้เป็นหญิงสาววัยกลางคน คล้ายกับจื่อเสวียน แต่ไม่ใช่คนเดียวกัน รูปร่างหน้าตาสง่างามและโอบอ้อมอารีย์ คลี่ยิ้มเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองฉายแววเมตตา ที่หางตามีรอยตีนกาประปราย เห็นได้ชัดเจนยิ่ง

นางก้มหน้าเล็กน้อย มองไปทางมือทั้งด้านหน้า

ตรงนั้นประคองตะเกียงดวงหนึ่งเอาไว้

ประหนึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดในชีวิตนาง

ตะเกียงนี้สร้างจากหินสีม่วง แบ่งบานเหมือนดอกจื่อจิง ด้านบนมีหงส์สีม่วงตัวหนึ่งเกาะอยู่ สยายปีกราวกับมีชีวิต

พริบตาที่เห็นตะเกียงดวงนี้ ความรู้สึกถูกฉีกทึ้งก็รุนแรงขึ้นในสมองสวี่ชิงทันที ความทรงจำที่ขาดหายไป ผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ

เขาหันกายไปมองจื่อเสวียน เขานึกออกแล้ว ตอนนั้นตนเข้ามาที่นี่ เห็นภาพบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับจื่อเสวียน เห็นว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนจื่อเสวียนไม่ผิดเพี้ยนปรากฏตัวขึ้นใต้รูปสลัก เห็นประตูใหญ่เปิดออก ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปด้านใน

เขายังจำบทสนทนาในภาพนั้นได้ ชายคนนั้น…คือบุตรชายของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว!

ทุกอย่างผุดขึ้นมาในสมองสวี่ชิง กลายเป็นสายอัสนี ฟาดผ่าจิตใจครืนครัน

และจื่อเสวียนตอนนี้ก็กำลังสั่นเทา มองรูปสลัก ด้วยสีหน้าเศร้าสลด ปล่อยมือของสวี่ชิง เดินไปยังรูปสลักอย่างไม่รู้ตัว ส่งเสียงพึมพำออกมา

“ฝันของข้า คือโลกที่มืดมิดใบหนึ่ง ในนั้นมีตะเกียงอยู่หนึ่งดวง

“มันมอดดับไปแล้ว ข้าจินตนาการว่ามันน่าจะเป็นดอกจื่อจิงที่เบ่งบานดอกหนึ่ง ด้านบนมีหงส์สีม่วงตัวหนึ่งเกาะอยู่

“ตะเกียงดวงนี้ ปรากฏตัวอยู่ในความฝันของข้าตลอด ฝันที่ไร้แสงสว่าง”

“โลกในความฝัน ก็คือที่นี่”

เสียงของจื่อเสวียนราวกับดังมาจากกาลเวลา ก้องกังวานอยู่ในชาตินี้ ณ ตำหนักใหญ่ที่เงียบสงัดอย่างน่าอัศจรรย์

และจากการที่นางเดินไป ขณะที่นางยืนอยู่ใต้รูปสลัก ร่างเงาเลือนรางนั้นที่สวี่ชิงเห็นคล้ายจื่อเสวียนไม่มีผิดตอนนั้นก็ปรากฏขึ้นในความทรงจำ

เพียงแต่ร่างมายาที่ปรากฏขึ้นครั้งนี้ กลับซ้อนทับกับจื่อเสวียนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่แยกออกจากกัน

นางมองรูปสลัก ในดวงตาฉายแววกตัญญูกตเวที ยิ่งมีความขมขื่น

จากนั้น ภาพในความทรงจำสวี่ชิงก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอีกครั้ง ร่างเงาขององค์ชาย เดินทะลุผ่านร่างเขาจากด้านหลัง มายืนอยู่ตรงหน้าจื่อเสวียน

ชุดคลุมจักรพรรดิมังกรทองสี่กรงเล็บ การแกว่งไปมาของกวานจักรพรรดิเก้าม่านมุก ทำให้อำนาจสวรรค์แผ่ออกมาจากร่างนี้อย่างเข้มข้น

องค์ชายคล้ายจะพูดอะไรบางอย่างที่สวี่ชิงไม่ได้ยิน

เขาเห็นเพียงดวงตาของจื่อเสวียนที่มองออกไปยังโลกภายนอกแฝงความอาลัยอาวรณ์และความโศกเศร้าเอาไว้

แต่ครั้งนี้ สุดท้ายก็แตกต่างกับในความทรงจำบางส่วน

เขาได้ยินเสียงของจื่อเสวียน

“ข้าไปไหนไม่ได้!

“เสด็จพ่อตัดสินใจผิดพลาด ละทิ้งราษฎร ละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอน เปลี่ยนท้องฟ้าด้านนอกเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ ใช้ชีวิตเพียงลำพังที่นั่น แล้วชีวิตจะยังมีความหมายอันใด!

“เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด หมางเมินเคราะห์ภัยของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ เขาไม่คู่ควร…กับแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์!”

จื่อเสวียนโศกเศร้าระคนโกรธเคือง

สวี่ชิงฟังคำพูดเหล่านี้ จิตใจก็ลั่นครืนครัน

ส่วนร่างในชุดคลุมจักรพรรดินั้นเงียบนิ่งไป ครู่หนึ่งก็ยื่นมือออกมาเหมือนเป็นการพยายามครั้งสุดท้าย

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา