บทที่ 736 ฟาดฟันเทียนหลันด้วยสามกระบี่
เมื่อสวี่ชิงกล่าวออกมา สีหน้าอ๋องเทียนหลันราบเรียบ จิตเทพกวาดไปบนท้องฟ้า
เขาก็อยากจะรู้ว่านอกจากดวงตะวันแห่งแสงอรุณแล้ว ที่พึ่งของเขตปกครองผนึกสมุทรยังมีอะไรอยู่อีก
และไม่ว่าจะเป็นอะไร สำหรับเขาก็ล้วนไม่เกี่ยวกัน เขากลายเป็นอ๋องสวรรค์ได้หาใช่เพราะตระกูล แต่เป็นเพราะพลังบำเพ็ญเตรียมสู่เทวะของเขา
ในฐานะหนึ่งในสามสิบสามอ๋องสวรรค์ แม้เขาจะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่สถานะและตำแหน่งรวมถึงพลังต่อสู้ล้วนทำให้เขามีขุมพลังเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆ มากมายในฟ้าดิน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้
เขาทราบดีว่าก่อนต้ากงคลื่นศักดิ์สิทธิ์รุ่นนี้จะย่างเข้าสู่เตรียมสู่เทวะ ในแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ไม่มีตัวตนเตรียมสู่เทวะมาหลายปีแล้ว สำหรับผู้คนที่นี่ เตรียมสู่เทวะ…ไม่แตกต่างอะไรกับเทพเจ้า
ล้วนทรงพลังทัดเทียมสวรรค์ ไม่อาจต่อต้าน ไม่อาจสั่นคลอน
เขาทราบดี ในฐานะที่เผ่ามนุษย์เป็นเผ่าใหญ่เผ่าสุดท้ายที่รวมแผ่นดินต้องประสงค์ให้เป็นหนึ่ง แม้จะประสบกับความยากลำบากบ้าง แต่ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในเผ่าใหญ่ได้ ความจริงหากเทียบกับเผ่าฟ้าทมิฬจำนวนเตรียมสู่เทวะมีมากกว่า
หากก่อนหน้านี้เผ่ามนุษย์คิดจะยึดแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่พึ่งพาเผ่าฟ้าทมิฬกลับมา เป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง
สำหรับดินแดนปิดล้อมอื่นๆ ที่อยู่ในแดนใหญ่ก็ยึดคืนมได้
แต่การทำเช่นนี้มีสิ่งที่แลกไม่น้อย สถานการณ์ก็ไม่อำนวย ต้องเผชิญหน้ากับต่างเผ่ามากมาย นี่ทำให้เผ่ามนุษย์กดดันอย่างยิ่ง
เพราะแดนใหญ่ที่เจ็ดดินแดนปิดล้อมตั้งอยู่ ล้วนมีความสัมพันธ์สลับซับซ้อน ต่างมีเผ่าใหญ่ที่มีสมบัติแดนสงครามอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ดึงผมเส้นเดียวสั่นสะเทือนไปทั้งร่าง
และก่อนหน้านี้เผ่ามนุษย์ไม่มีสมบัติแดนสงคราม
จึงทำได้เพียงอดทน
มีเพียงครอบครองสมบัติแดนสงครามเท่านั้น ถึงจะสามารถปกป้องตนเองได้ในระดับหนึ่ง
นี่ก็เป็นสาเหตุที่เผ่ามนุษย์ถูกต่างเผ่ามากมายรุกรานในยามสงครามเขตปกครองผนึกสมุทร ทว่าเมื่อดวงตะวันแห่งแสงอรุณปรากฏออกมา เผ่าต่างๆ สั่นสะท้าน แล้วพากันถอยหนี
แต่แค่มีสมบัติแดนสงครามยังไม่เพียงพอ
สิ่งที่สำคัญกว่าสมบัติแดนสงคราม คือเทพเจ้า
เทพเจ้า เป็นสิ่งที่ตัดสินว่ารากฐานของเผ่านั้นๆ แข็งแกร่งหรือไม่
ก่อนเสี้ยวหน้าเทพเจ้า จะเตรียมสู่เทวะก็ดี จะสมบัติแดนสงครามก็ดี ล้วนไม่มีประโยชน์อะไรนัก นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทั้งๆ พลังของเผ่าฟ้าทมิฬสู้เผ่ามนุษย์ไม่ได้ กลับสามารถทำให้เผ่ามนุษย์หวาดกลัวได้นั่นเอง
เทพเจ้า กวาดล้างสรรพสิ่งได้
สิ่งที่ทำให้เผ่าฟ้าทมิฬพ่ายแพ้โดยพื้นฐานก็คือชื่อหมู่เทพเจ้าของเผ่าฟ้าทมิฬ หลับใหลไปด้วยแผนการลึกลับซับซ้อนของจักรพรรดิมนุษย์มากมาย
เมื่อมีฝั่งที่เสียเปรียบ เผ่ามนุษย์ย่อมเปลี่ยนมาแข็งแกร่ง
สาเหตุต่างๆ ในนั้น คนโง่นั้นยากจะเข้าใจ โลกใบนี้ในสายตาพวกเขาธรรมดาเกินไป กระทั่งเกิดคำถามน่าขันบางอย่าง เช่นคำพูดไร้เดียงสาที่ว่าหากเผ่ามนุษย์แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ไยก่อนหน้านี้ถึงไม่ยึดแผ่นดินคลื่นศักดิ์สิทธิ์คืนมา
มีเพียงคนที่ครอบครองข้อมูลสำคัญมากมายหรือคนที่หลักแหลมสังเกตเก่งเท่านั้น จึงจะมองสิ่งสำคัญออก
‘ดังนั้น สิ่งที่เขตปกครองสมุทรพึ่งพา จะเป็นอะไรได้อีก’
สีหน้าอ๋องเทียนหลันวสุขุมเยือกเย็น ไม่เงยหน้าขึ้นเลย เพียงใช้จิตเทพกวาดไปบนท้องฟ้า ก็ไม่พบอะไร
แต่ในตอนที่เขาสัมผัสเข้าไปลึกกว่าเดิม จู่ๆ เสียงแค่นขึ้นจมูกเย็นชาก็แทรกเข้ามาในจิตเทพเขากะทันหันอย่างยิ่ง กึกก้องไปทั้งฟ้าดิน กลายเป็นสายอัสนีบาตรในใจอ๋องเทียนหลัน
ฟาดผ่าครืนครัน
สีหน้าอ๋องเทียนหลันแข็งค้าง เงยหน้าขึ้นทันที่ เสี้ยวขณะที่มองไปบนท้องฟ้า โลกใบใหญ่ที่แผ่ปกคลุมม่านฟ้าเมืองหลวงเขตปกครองของเขา มีเสียงแยกผืนฟ้าผ่าพสุธาดังมา มีรอยแตกขนาดยักษ์รอยหนึ่งปรากฏขึ้น
เห็นได้ชัดว่ารอยแตกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ รอยแตกตรงดิ่ง ราวกับถูกคมมีดตัดผ่า ลากยาวไปนับหมื่นจั้ง
เงยหน้ามองจากพื้นดิน รอยแยกนี้เด่นสะดุดตาอย่างยิ่งบนฟ้า ยิ่งมีปราณกระบี่สะท้านฟ้าสะเทือนดินอีกสายหนึ่ง หวีดหวิวมาจากด้านใน พลานุภาพกระบี่แผ่กระจายไปทั้งแปดทิศ
ทันใดนั้น เมฆหมอกสลายไป ผืนแผ่นดินครืนครัน สรรพสิ่งสั่นสะท้าน สรรพชีวิตจิตใจโหมกระหน่ำ
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกแทบจะสลายหายไปจนสิ้น มืดครึ้มขึ้นมาเอง บิดเบี้ยวไม่รู้จบ มีเพียงปราณกระบี่สายนี้ที่พาดลงมาจากรอยแตกบนฟากฟ้าเพียงหนึ่งเดียวในความพร่าเลือนนี้
ราวกับกระบี่สวรรค์ ฟาดฟันลงมายังโลกใบใหญ่ของอ๋องเทียนหลันที่แผ่ปกคลุมเหนือเมืองหลวงเขตปกครอง
เสี้ยวขณะที่ปะทะกัน โลกใบใหญ่ของอ๋องเทียนหลันสั่นสะเทือนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ส่งเสียงสนั่นหวั่นไหวออกมา ราวกับทัณฑ์สวรรค์นับแสนนับล้านทางฟาดผ่าลงมาพร้อมกัน
เกราะกำบังโลกที่อยู่ด้านในแตกสลายไปในพริบตา กลายเป็นเศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วน ราวกับหินอุกกาบาตดาวตก ร่วงลงไปบนภูเขาในแม่น้ำของโลกใบใหญ่
โลกสั่นคลอน และปราณกระบี่ก็ยังไม่หยุด ฝ่าเกราะกำบัง พุ่งลงไปในโลกใบใหญ่ของอ๋องเทียนหลัน ผ่าแผ่นฟ้าของโลกใบใหญ่ ฝากรอยกระบี่ทางหนึ่งที่ลามไปบนพื้นดินทั้งโลก
โลกอื้ออึง ทั้งสองฝั่งของรอยแยกเผยอยกสูงขึ้นไปตามที่รอยกระบี่พาดผ่าน เทือกเขาทั้งหมดถล่มทลาย แม่น้ำทั้งหมดระเหยหลายเป็นไอ สรรพชีวิตร้องคร่ำครวญ กลายเป็นสีเลือด
แต่พลังอำนาจของปราณกระบี่ยังคงน่าครั่นคร้าม แผ่นดินบริเวณที่ฝากรอยกระบี่ไว้พังถล่มต่อเนื่อง พาดผ่านเข้าไปในส่วนลึกอย่างรวดเร็ว สุดท้าย…โลกใบใหญ่ก็ถูกกระบี่นี้แบ่งเป็นสองซีก
โลก พังพินาศ!
มองไกลๆ โลกใบใหญ่ที่กลายเป็นสองซีก แยกออกจากกันเหนือท้องฟ้าเมืองหลวงเขตปกครอง
ภาพนี้สั่นสะเทือนจิตใจ ทำให้รู้สึกขนลุกขนพอง
เห็นเพียงสีเลือดแผ่ปกคลุมท้องฟ้าของโลกใหญ่ที่กลายเป็นสองซีก เสียงโหยหวนดังขึ้นไม่หยุด เศษหินนับไม่ถ้วนร่วงลง ฝุ่นละอองนับไม่ถ้วนฟุ้งกระจาย
จากนั้นโลกใบใหญ่ที่ถูกแยกเป็นสองซีกนี้ ก็เปลี่ยนเป็นภาพมายา เปลี่ยนเป็นโปร่งแสง ตกลงมาบนพื้นดิน
เสี้ยวขณะที่ตกลงมา มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ขณะที่ผืนแผ่นดินสั่นเทือน โลกใบใหญ่ของอ๋องเทียนหลัน กลายเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนนับไม่ถ้วน ผสานเข้าไปในเขตปกครองผนึกสมุทร
มันไม่ใช่สสารที่มีอยู่จริง เมื่อสลายไปจึงเป็นเช่นนี้
ทุกอย่างนี้กล่าวออกมาแล้วดูยาวนาน แต่อันที่จริงเกิดขึ้นเพียงพริบตาเท่านั้น จากการพังพินาศของโลกใบใหญ่ ความสั่นสะเทือนที่มาพร้อมกับภาพนี้ ทำให้ผู้คนในเขตปกครองผนึกสมุทรพากันตกตะลึงตาค้าง
ที่มีตกตะลึงตาค้างด้วย ยังมีกองทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาอ๋องเทียนหลัน



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา