บทที่ 739 พระเมตตาของเทพเจ้าช่างยิ่งใหญ่ล้นเหลือ
นอกหมอก กองทัพของแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์มากมายมหาศาล มืดฟ้ามัวดิน
ธงในนั้นสะบัดเป็นทิวแถว ลมหายใจของอสูรร้าย กลิ่นอายของผู้บำเพ็ญ ทุกอย่างต่างๆ นี้ก่อเป็นภาพเชื่อมต่อกับผืนฟ้า กวาดโหมผืนดิน
รัศมีอำนาจท่วมฟ้า ผืนนภาแผ่ระลอก แผ่นดินอึมครึม
โลกทั้งใบต่อหน้ากองทัพสุดลูกหูลูกตานี้แปรเปลี่ยนเป็นความเงียบงัน
โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งมากมายในกองทัพ ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มาจากทุกสำนักทุกเผ่า มาจากฝ่ายต้ากงคลื่นศักดิ์สิทธิ์ และจากเขตปกครองผนึกสมุทร พวกเขาลอยอยู่กลางฟ้าดิน แต่ละคนต่างแผ่พลังกดดันไร้รูปร่างออกมา
ในนั้นมีนายท่านเจ็ด มีโหวเหยา และมีต้ากงคลื่นศักดิ์สิทธิ์
ยิ่งมีแสงเลือดเป็นทางๆ ไหลวน สาดแสงเจิดจ้าพร่างพรายไปทั่วทิศ สุดท้ายแปรเปลี่ยนเป็นทะเลสีเลือด จะท่วมจมหมอก
นั่นคือวิชาเซียน
และข้างหน้ากองทัพนี้ สวี่ชิงยืนอยู่ตรงนั้น จ้องมองเผ่าฟ้าทมิฬชุดสีม่วงสิบเจ็ดคนที่เดินออกมาจากหมอก สายตาของเขาสุดท้ายแล้วจับจ้องไปที่ร่างของชายชราที่โค้งคำนับเอ่ยกับตน
สำหรับนายแห่งพระจันทร์สีม่วงสองตัวอักษรนี้สวี่ชิงย่อมไม่รู้สึกแปลกใหม่
ทว่าคำเรียกนี้เอ่ยออกมาจากปากของผู้บวงสรวงเผ่าฟ้าทมิฬเช่นนี้ก็มีความหมายลึกซึ้งแล้ว
ดวงตาทั้งสองของสวี่ชิงล้ำลึก สายตาเบนจากร่างของชายชราเผ่าฟ้าทมิฬที่หมอบคารวะตนไปยังหมอกที่อยู่ข้างหลังอีกฝ่าย ยืนอยู่ตรงนี้ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงอำนาจที่เป็นของตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ว่ามันกำลังพวยพุ่งอยู่ในหมอก
เผ่าฟ้าทมิฬอยู่ในส่วนลึกของหมอกกำลังทำพิธีที่เกี่ยวกับตน อีกทั้งใกล้เสร็จสิ้นแล้ว
นานหลังจากนั้น ภายใต้การจับตามองของกองทัพ ท่ามกลางความเงียบนิ่งของผู้บวงสรวงทั้งสิบเจ็ด เสียงของสวี่ชิงดังออกไปอย่างเนิบนาบ
“เจ้ารู้สมญาของข้าได้อย่างไร”
สวี่ชิงไม่อ้อมค้อม เขาในตอนนี้มีอำนาจที่จะถามไปตรงๆ ไม่จำเป็นต้องไปคาดเดา
เผชิญกับคำถามของสวี่ชิง ชายชราผู้บวงสรวงเผ่าฟ้าทมิฬคนนั้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นฉายความศรัทธาเลื่อมใส เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ชื่อหมู่แตกดับในศึกเทพเจ้า นายคนใหม่ถือกำเนิดในกระดูกเทพเจ้าขององค์ท่าน นี่คือวัฏจักรของเทพเจ้า
“นายแห่งพระจันทร์สีม่วงที่ถือกำเนิดขึ้นคือนายคนใหม่ องค์ท่านสืบทอดอำนาจทุกอย่างของพระจันทร์สีชาด ได้รับการเคารพบูชาจากคนทั้งหลาย นับจากนี้พระจันทร์ไร้สีชาด พระจันทร์สีม่วงลอยกลางนภา เผ่าทุกเผ่า ผู้รับใช้เทวะล้วนมีภารกิจใหม่
“นี่คือการรับรู้ที่พวกข้าได้รับจากการบวงสรวงเชิญอัญเชิญจันทร์หลายครั้ง”
ระหว่างพูด ผู้บวงสรวงฟ้าทมิฬเงยหน้า มองสวี่ชิง ในดวงตาฉายแววบ้าคลั่ง
“ภารกิจอะไร” สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติเช่นเดิม เอ่ยถามเสียงสงบนิ่งออกไป
“สนับสนุนนายแห่งข้าให้กลับสู่นภาเทวะอีกครั้ง ส่งเสริมพระจันทร์สีม่วงให้ลงมาเยือนยังโลก ผู้ติดตามทั้งหมดจะได้รับพระเมตตาแห่งเทวะ ทว่ามีเพียงผู้ที่มีความดีความชอบเท่านั้น จึงจะได้รับตำแหน่งอันสูงส่ง!”
สวี่ชิงได้ยินก็มองชายชราอย่างลึกซึ้งผาดหนึ่ง
ชายชราสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง รอยเหี่ยวย่นทั้งใบหน้ายังคงศรัทธาเลื่อมใส
สวี่ชิงดึงสายตากลับมา วาจาเพ้อเจ้อเลื่อนเปื้อนราวพวกแอบอ้างเป็นผู้วิเศษของอีกฝ่าย หลอกคนอื่นบางทีอาจจะได้ แต่หลอกเขานั้นไร้ประโยชน์
สวี่ชิงไม่เชื่อคำพูดพวกนี้เลย
เขาเชื่อคำตอบอีกคำตอบมากกว่า…
ผู้บวงสรวงเผ่าฟ้าทมิฬเผชิญหน้ากับศึกใหญ่ที่ต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน เผชิญหน้ากับวิกฤตล้างเผ่าพันธุ์ที่ยากจะคลี่คลายเช่นนี้ พวกเขารู้ดีถึงความเป็นจริง โดยเฉพาะพวกเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นในแดนใหญ่เซ่นจันทรา และรู้ถึงเบื้องหลังและตำแหน่งตอนนี้ของเขา
ดังนั้น เส้นทางที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาจึงมีเพียงแค่เส้นทางเดียวเท่านั้น นั่นก็คือสวามิภักดิ์
ทว่าการสวามิภักดิ์นั้นก็ต้องมีชั้นเชิง และสวี่ชิงก็เคยเปลี่ยนคำอธิษฐานบนพระจันทร์สีชาดจริงๆ อีกทั้งอาศัยอำนาจเผยแพร่ แม้สุดท้ายจะล้มเหลว แต่ก็มีร่องรอย
ดังนั้นเผ่าฟ้าทมิฬที่เคารพบูชาพระจันทร์สีชาดมาทุกยุค บูชาชื่อหมู่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่ารู้คำอธิษฐานจากการนี้
ดังนั้นจึงมีนายแห่งพระจันทร์สีม่วงคำนี้
และสวามิภักดิ์ด้วยวิธีการเช่นนี้ ในใจของผู้บวงสรวงเผ่าฟ้าทมิฬความจริงแล้วไม่ใช่การสวามิภักดิ์ เพราะโดยตลอดมาพวกเขาเป็นผู้รับใช้ของเทพเจ้า
ส่วนภารกิจที่ว่าก็มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าเป็นการสร้างขึ้นของพวกเขาเอง
นี่ก็คือความฉลาดของผู้บวงสรวงกลุ่มนี้
กระทั่งว่าคิดวิเคราะห์ลึกลงไป ในใจของผู้บวงสรวงกลุ่มนี้ บางทีไม่มากก็น้อยก็ไม่ได้มั่นใจว่าตัวเขาเป็นนายแห่งพระจันทร์สีม่วงจริงหรือไม่
แต่นี่ไม่สำคัญ
ชื่อหมู่แตกดับไปแล้ว มีชีวิตอยู่ถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ
และมีชีวิตอย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรีก็คือเรื่องสำคัญที่สุด
ดังนั้นสวี่ชิงรู้สึกว่าต่อให้ผู้บวงสรวงฟ้าทมิฬเหล่านี้คิดว่าตนไม่ใช่นายแห่งพระจันทร์สีม่วงก็ไม่เป็นไร พวกเขาก็จะแก้คำอธิษฐานเอง จากนั้นก็คิดว่าตนเป็นนายแห่งพระจันทร์สีม่วง
อย่างไรมื่อก็ไม่มีใครคัดค้านได้อยู่แล้ว
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ เหล่านี้ล้วนเป็นการคาดเดาของเขา กระทั่งว่าความจริงเป็นเช่นไร เขาก็ไม่ได้ไปคิดเล็กคิดน้อย แต่ว่าสำหรับผู้บวงสรวงเผ่าฟ้าทมิฬที่ใช้วิธีอีกแบบมาสวามิภักดิ์เหล่านี้ มอบการสยบกำราบในระดับหนึ่งก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ
และการสยบกำราบสำหรับสวี่ชิงแล้วง่ายมาก
สำหรับพวกแอบอ้างเป็นผู้วิเศษแล้ว การสยบกำราบที่ตรงไปตรงมาที่สุดย่อมเป็นเทพเจ้า
ดังนั้น พลังอำนาจในร่างของสวี่ชิงจึงแผ่ออกมา ผสานไปในพิธีที่เกี่ยวกับตัวเองที่กำลังดำเนินไปในหมอกนั่น ช่วยให้พิธีสำเร็จเร็วขึ้น
แทบจะในพริบตาที่อำนาจของสวี่ชิงผสานเข้าไป ผู้บวงสรวงทั้งสิบเจ็ดต่างสะท้านเฮือก ชายชราผู้เป็นผู้นำยิ่งเงยหน้าขึ้นทันที ในขณะเดียวกับที่สีหน้าฉายแววตื่นตะลึง ในหมอกก็มีเสียงดังครืนครันสนั่นผืนฟ้า
หมอกเดือดพล่าน ส่งเสียงคำสรรเสริญที่ถูกผนึกอยู่ในนั้นออกมา
“จันทร์ดวงใหม่นายแห่งข้า เหนี่ยวนำพาดินแดนต้องประสงค์ ผู้คนทุกข์ยากสุดแสนระทม แต่ร่มเย็นอยู่สุขได้ใต้บารมี
“พลีกายาสังเวยแด่นายแห่งข้า ชั่วชีวาไร้ทุกข์เป็นสุขศรี มีทิวาราตรีเป็นม่านกั้น กายข้านั้นไม่สลายคงอยู่ชั่วกาลนาน”
…
จากเสียงสะท้อนของคำอธิษฐาน แสงสีม่วงระเบิดมาจากในหมอก ท้องฟ้าในเสี้ยวขณะนี้คำรามเลื่อนลั่น ม่านฟ้าเหมือนมีมือยักษ์ไร้รูปร่างคู่หนึ่ง จะแหวกท้องฟ้าออก อำนาจเทพแผ่นซ่านไปทั่วทุกสารทิศ
ดาวสีม่วงดวงหนึ่ง พลันปรากฏขึ้น ณ จุดสูงสุดของขอบฟ้า
ทีแรกรางเลือน แต่ไม่นานก็ชัดเจน สุดท้ายปรากฏอยู่ในฟ้าดิน การปรากฏขององค์ท่านทำให้ฝ่ายคลื่นศักดิ์สิทธิ์ฮือฮา อสูรร้ายนับไม่ถ้วนตัวสั่น
ต่อให้รู้เรื่องที่อ๋องเทียนหลันประสบพบเจอ และรู้ว่านี่คือภาพมายา แต่เสี้ยวขณะนี้ การปรากฏขึ้นของดาวพระจันทร์สีม่วง ก็ยังทำให้คนทั้งหลายจิตใจสั่นสะท้าน

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา