บทที่ 77 วาฬบรรพกาลทะเลต้องห้าม
แสงจันทร์สาดส่องผืนทะเล ส่องเรือเวทที่เกราะคุ้มกันแตกสลาย และสาดบนตัวสวี่ชิง เขาได้ยินเสียงเคารพนับถือของศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดด้านนอก สีหน้าไม่ค่อยแน่ใจ
การทะลวงขั้นครั้งนี้ แม้จะเป็นไปตามที่คาดเดาเอาไว้อยู่แล้ว แต่กระบวนการที่สุ่มเสี่ยงเช่นนั้นก็ทำให้เขาพรั่นพรึงอย่างมาก โดยเฉพาะตอนที่คิดจะทะลวงขั้นเคล็ดคีรีสมุทร ความรู้สึกที่ทั้งร่างแทบจะปริแตกนั้น ทำให้สวี่ชิงอดสูดปากไม่ได้
หากไม่ใช่เพราะการฟื้นฟูของผลึกวารีสีม่วง เกรงว่าเงาป๋ายังไม่ทันได้ปรากฏ ร่างเขาก็คงได้แตกเป็นเสี่ยงๆ จนตายไปเสียก่อน ทว่าการยกระดับที่แลกมาจากความสุ่มเสี่ยงนี้ก็น่าตกตะลึงเช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะเงาป๋าบนหัวตอนนี้ที่ค่อยๆ สลายหายไป พลังน่าหวาดกลัวที่หลั่งทะลักออกมาจากตัวมัน ทำให้ดวงตาสวี่ชิงเผยแววคาดหวังเฝ้ารอขึ้นมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง สวี่ชิงเดินออกจากห้องเรือ เขาที่ผมดำขลับอยู่ในชุดนักพรตสีเทา ร่างตรงดุจต้นสนภายใต้แสงจันทร์ ความงดงามเย็นชาบนใบหน้าราวกับแกะสลักออกมา เหมือนมีท่วงทำนองเทพหลังการทะลวงขั้นของเคล็ดคีรีสมุทรอยู่รางๆ
“ขอบคุณทุกท่าน” สวี่ชิงยืนอยู่บนเรือ ประสานมือคารวะไปยังศิษย์ที่อวยพรอยู่รอบๆ อย่างเรียบนิ่ง
ศิษย์รอบๆ เรือเวทก็ต่างคารวะกลับทันที เหมือนมองคลื่นพลังบำเพ็ญของสวี่ชิงที่ยังไม่สลายไปออก จึงคาดเดาว่าการทะลวงขั้นครานี้ ยังไม่ใช่บทสรุปของการฝึกบำเพ็ญในค่ำคืนนี้
ดังนั้นหลังจากคารวะตอบแล้ว ในใจก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง ทุกคนกลับไปยังเรือของตนอย่างรู้ความ ไม่เข้าไปรบกวนอีก
ถ้าเปลี่ยนเป็นตอนที่สวี่ชิงเพิ่งมายังเจ็ดเนตรโลหิตเมื่อหลายเดือนก่อนหน้า ภาพนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ แต่วันนี้กลับปรากฏขึ้นแล้ว
สวี่ชิงถอนสายตา กลับเข้าไปในเรือ หลังจากนั่งขัดสมาธิก็มองไปในค่ายกลรวมวิญญาณที่มีเศษหินวิญญาณแตกเป็นรอยกระจายอยู่ จากนั้นก็มองไปยังตัวเรือที่ปริแตก ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เขารู้ว่าเป็นเพราะคลื่นพลังมากเกินไประเบิดออกมาในพริบตานั้นทำให้เกราะคุ้มกันแตกสลาย หินวิญญาณในฐานะที่เป็นศูนย์กลางจึงแตกร้าว
“ไม่รู้ว่าเคล็ดคีรีสมุทรทะลวงขั้นครั้งต่อไป จะยังเป็นแบบนี้อยู่หรือไม่….”
สวี่ชิงพึมพำ ในใจยังคงพรั่นพรึงอยู่ ยิ่งปวดใจมากขึ้น ถึงอย่างไร…การซ่อมแซมเรือเวทก็ต้องมีค่าใช้จ่าย
ทว่าเมื่อคิดถึงสิ่งที่ได้จากเด็กหนุ่มเผ่าเงือก สวี่ชิงก็เบาใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาไปคิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนั้น สวี่ชิงสงบความพรั่นพรึงในใจจากการทะลวงขั้นของเคล็ดคีรีสมุทรลง เขายังสัมผัสได้ว่าคัมภีร์แปรสมุทรของตนเองก็กำลังตีเกลียวครืนครันอยู่ในร่างกาย เหมือนจะทะลวงขั้นเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงสูดลมหายใจลึก จัดการเปลี่ยนหินวิญญาณที่ใช้การไม่ได้แล้วในค่ายกลรวมวิญญาณเสียใหม่
พริบตาต่อมา เกราะคุ้มกันบนเรือเวทก็ทำงานอีกครั้ง
สวี่ชิงมองแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาในห้องเรือที่พังยับ เมื่อครุ่นคิดก็วางหินวิญญาณก้อนหนึ่งเข้าไปอีกครั้ง ระหว่างที่ทำปางมือเรือเวทก็ส่งเสียงครืนครัน เกราะคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นออกมาในขณะที่มีหินวิญญาณสองก้อนอยู่ใจกลางก็แข็งแกร่งทนทานกว่าเดิม กระทั่งว่าแสงจันทร์ก็ยังถูกบังไปกว่าครึ่ง
เมื่อทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ สวี่ชิงก็นั่งลงขัดสมาธิ หลับตาทั้งสองลง สัมผัสกับพลังที่ปล่อยออกมาจากในร่างกายเวลานี้ที่ยิ่งใหญ่กว่าก่อนหน้าหลายเท่า
ต้องรู้ว่าพลังก่อนหน้านี้ของสวี่ชิงคือระดับที่ฝึกบำเพ็ญเคล็ดคีรีสมุทรระดับบริบูรณ์ไปแล้ว การทะลวงขั้นตอนนี้ ทำลายพันธนาการลง ทำให้พลังกายเนื้อของเขาไปอยู่ในระดับที่สูงยิ่งขึ้น
ความแข็งแกร่งของพลังนี้ ทำให้สวี่ชิงเกิดความรู้สึกมั่นใจอย่างยิ่งว่าตนเองไม่จำเป็นต้องใช้วิชาเวทคัมภีร์แปรสมุทร เพียงแค่เคล็ดคีรีสมุทรสุดกำลังหมัดเดียว ต่อให้เป็นบรรพชนสำนักวัชระก็ยังตกตะลึง
ถึงอย่างไร เขาก็เป็นคนแรกนับตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันที่ฝึกบำเพ็ญเคล็ดคีรีสมุทรมาได้ถึงระดับนี้
เงาขุยของเขาก่อนหน้าถือเป็นระดับสูงสุดแล้ว ทว่าปัจจุบันเงาขุยแปรสภาพกลายเป็นป๋าอย่างไม่เคยมีมาก่อน บนตัวมันไม่ได้แฝงแค่กลิ่นอายคีรีสมุทรเท่านั้น แต่ยังมีเปลวไฟที่ร้อนแรงอยู่ด้วย
ความบ้าคลั่งที่แผดเผาอาณาประชาราษฎร์ ทำให้สรรพสิ่งเหือดแห้ง ยังคงคั่งค้างอยู่ในความรู้สึกของสวี่ชิง
และนี่ก็เป็นเพียงขั้นแปดเท่านั้น เงาป๋าเป็นแค่ร่างที่เพิ่งถือกำเนิด ยังไม่ถึงขั้นเติบโตสมบูรณ์ สวี่ชิงนึกภาพไม่ออกเลยว่าหลังจากขั้นเก้าแล้วจะมีหน้าตาเช่นไร และตอนถึงขั้นสิบระดับบริบูรณ์ เงาป๋า…จะยังเปลี่ยนแปลงได้อีกหรือไม่
ไม่มีใครสามารถมาชี้แนะเขาเรื่องวิถีของเคล็ดคีรีสมุทรได้แล้ว กระทั่งคนที่คิดวิชานี้ขึ้นมาก็ยังทำไม่ได้เช่นกัน
สวี่ชิงนิ่งงัน ผ่านไปครู่หนึ่งในดวงตาจึงเกิดประกาย เริ่มกระตุ้นคัมภีร์แปรสมุทร
เวลาผ่านไปเชื่องช้า หนึ่งชั่วยามต่อมา ท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้ากลางดึก ก็เกิดสายลมพัดขึ้น…
สายลมนี้พัดผ่านผืนทะเล มารวมตัวที่เรือเวทของสวี่ชิง ก่อตัวเป็นกระแสวนดูดเข้าคลายออก ราวกับจะกลายเป็นหลุมดำ พลังวิญญาณจากทั่วสารทิศก็ตีเกลียวพัดเข้ามาท่ามกลางเสียงอื้ออึง
ผิวทะเลกระเพื่อม เรือทั้งหมดล้วนโคลงเคลง ศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดในเรือ ก็ต่างจับจ้องมายังสถานที่นี้ ราวกับว่ากำลังเป็นพยานให้แก่การเติบโตสวี่ชิง
พลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่พุ่งเข้าไปในเรือเวทสวี่ชิงจากทั่วสารทิศ หลั่งไหลเข้าไปในร่างกายเขา ทะเลวิญญาณที่คัมภีร์แปรสมุทรก่อตัวขึ้นในร่างกายเขา ก็ระเบิดอาณาเขตขึ้นมาอีก
การยกระดับทุกขั้นของคัมภีร์แปรสมุทร ดูเหมือนอาณาเขตจะกว้างขึ้นแค่สิบจั้ง แต่การยกระดับนี้อันที่จริงเป็นการยกระดับรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นระดับความกว้างหรือความลึก มองแนวราบแล้ว ก็เหมือนความแตกต่างของวงกลมเล็กกับวงกลมใหญ่ รวมถึงความลึกก็ด้วยเช่นกัน
เวลานี้ในขณะที่สวี่ชิงแต่เดิมก็มีรากฐานมากพอจะทะลวงขั้น ร่างกายของเขาก็ครืนครันขึ้นฉับพลันตามการพุ่งเข้ามาของพลังวิญญาณที่แฝงกลิ่นอายทะเลต้องห้ามจากภายนอก เสียงเปรี๊ยะดังก้องขึ้นในหัว พลังวิญญาณในร่างกายสวี่ชิงก็โถมซัดสาดขึ้นมากะทันหัน
จนกระทั่งทะลวงขีดจำกัดสุดท้าย ไปจนถึงระดับแปดสิบจั้ง
และพริบตาที่มาถึงนี้ ร่างกายเขาก็สั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง พลังวิญญาณถมอาณาเขตแต่ละจั้งจนเต็ม ไม่จบเพียงเท่านั้น ยังคงขยายต่ออีก
แปดสิบสองจั้ง แปดสิบสามจั้ง แปดสิบสี่จั้ง…
จนตอนที่ถึงแปดสิบเจ็ดจั้ง พลังวิญญาณในร่างกายสวี่ชิงก็สื่อออกมาว่าอิ่มแล้ว เมื่อสวี่ชิงลืมตาขึ้นแสงม่วงก็เจิดจ้า ความรู้สึกของการก้าวผ่านความสามัญเผยออกมาอย่างชัดเจนจากบนตัวเขา
“วาฬบรรพกาล” สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ระหว่างที่พึมพำเสียงต่ำมือขวาก็ยกขึ้นโบก ทันใดนั้นก็มีเสียงมังกรคำรามออกมาจากในร่างกายเขา ศีรษะที่คล้ายวาฬคล้ายมังกรขนาดยักษ์ ก็มุดออกมาจากในหน้าอกสวี่ชิง
ร่างกายดำสนิท ในช่วงที่เข้าใจยากจนถึงขีดสุดนั้น ก็ยังมีกลิ่นอายที่ทำให้คนตกตะลึงพรึงเพริด แผ่ซ่านออกมาจากตัวมันด้วย
เวลานี้วาฬทะเลตัวนี้ก็พุ่งออกมาตามเสียงคำรามจากในร่างกายสวี่ชิง ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แหวกเกราะคุ้มกันพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า ขณะที่แหงนหน้าเปล่งเสียงคำราม ก็เผยร่างกายทั้งหมดออกมา!
ร่างกายที่ใหญ่โตขนาดแปดสิบจั้ง แผ่พลังที่สั่นสะเทือนจิตวิญญาณ หนวดระยางที่กำลังโบยบินทุกเส้นล้วนมีแสงเรืองรองสีน้ำเงินเปล่งออกมา
ผืนทะเลส่งเสียงครืนครันจากการปรากฏตัวของมัน ราวกับถูกดึงดูดจนก่อเกิดคลื่นขนาดยักษ์ และวาฬบรรพกาลตัวนี้ ต่อให้เพียงแค่ตบลงมาเบาๆ ก็เพียงพอที่จะสั่นสะเทือนพสุธาถึงยอดเขาได้แล้ว
ศิษย์ในเรือเวทรอบด้านต่างพากันตกตะลึง
“วาฬบรรพกาลทะเลต้องห้าม!”
“นี่คือวิชาที่มีไว้เฉพาะคัมภีร์แปรสมุทรขั้นแปด แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถก่อนตัววาฬบรรพกาลได้ในขั้นที่แปด สิ่งนี้จำเป็นต้องใช้การควบคุมระดับสูงสุดอีกด้วย!”
“พลังในร่างกายที่สวี่ชิงแผ่ออกมาเมื่อครู่ ก็ทำให้คนตกตะลึงมากแล้ว วิชาเวทเวลานี้กลับยังไปถึงขั้นแปดอีก…”
“พลังต่อสู้มากถึงเพียงนี้เชียว…”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา