บทที่ 826 รัฐทายาทหมิงหนาน
สวี่ชิงไม่คิดจะออกหน้า
แม้ว่าตราที่จิ้งจอกดินให้มา จะสั่นไหวกับส่งความร้อนออกมาไม่หยุด แต่สวี่ชิงก็ยังเลือกไม่สนใจ ยิ่งไปกว่านั้นยังเพิ่มการอำพรางขึ้นไปอีก
สำหรับคนที่ไม่รู้จัก เขาไม่มีหน้าที่และไม่จำเป็นต้องเข้าไปร่วม
ส่วนที่อีกฝ่ายพูดว่าทูตเทวะ สวี่ชิงก็ชินไปแล้ว
นับตั้งแต่ที่เขาปลอมตัวเป็นทูตเทวะครั้งแรกที่แดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ ก็เหมือนจะมีความสัมพันธ์ประหลาดกับตัวตนฐานะนี้ขึ้นมา ที่แดนใหญ่เซ่นจันทราก็ด้วยเช่นกัน ตอนนี้พอมาถึงเผ่านภาคิมหันต์ ก็ปรากฏสถานการณ์คล้ายๆ กัน สวี่ชิงเองก็ไม่ได้รู้สึกเกินคาดอะไร
ถึงอย่างไรตนเองก็ถือป้ายตราของจิ้งจอกดินอยู่
แต่สำหรับภูเขาต้องห้ามสองลูกบนหัวของผู้บำเพ็ญเผ่านภาคิมหันต์ที่ทั่วทั้งตัวแผ่ปณิธานแสงตะวันร้อนแรงออกมาตรงหน้านี้ สวี่ชิงก็ยังรู้สึกหวั่นไหวหน่อยๆ
ดังนั้นแผนเดิมของเขา คือรอให้การเลือกของสองคนนี้เสร็จสิ้น ตนเองค่อยลงมือ แล้วนำภูเขาต้องห้ามไป
แต่ความคิดที่ว่า เวลานี้จากการชี้ลงมาของชนชั้นสูงนภาคิมหันต์ในตำหนักวังคนนั้น ก็ถูกบีบให้เปลี่ยนไปแล้ว
พอนิ้วนี้จรดลงมา การอำพรางของสวี่ชิงรวมถึงนายกองก็ถูกลบไปอย่างไร้ซุ่มเสียง
ร่างของนายกองคืนสภาพกลับมาเป็นร่างมนุษย์จากแมลงขยุกขยิก นั่งยองอยู่บนกิ่งไม้ บ่นพึมพำขึ้นมาในใจ
ส่วนสวี่ชิงทางนั้น เวลานี้ร่างกายเองก็เปลี่ยนจากสภาพโปร่งใสเป็นควบรวมตัวขึ้นมา ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ สีหน้าเขาแม้จะดูเหมือนปกติ ไม่สะทกสะท้าน แต่อันที่จริงในใจสวี่ชิงก็มีความผันผวนสะท้อนก้อง
ความรู้สึกถูกคนฝืนกระชากออกมา ทำเอาเขายิ่งระแวดระวังตัว
และการปรากฏตัวของเขา ก็ทำให้ผู้บำเพ็ญเผ่านภาคิมหันต์สองคนนั้น ต่างฝ่ายต่างจิตใจสั่นสะท้าน
ในฐานะที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ ชิวเชวี่ยจื่อจึงมีปฏิกิริยาที่รวดเร็วกว่า หลังจากที่เห็นสวี่ชิงกับนายกอง เขาก็ลมหายใจหอบถี่ โค้งตัวคารวะให้ทันที
“คารวะทูตเทวะ!”
เวลาเช่นนี้ ไม่ว่าตรงหน้าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือเผ่าตนเองก็ไม่สำคัญแล้ว ที่สำคัญคือตัวตนฐานะของฝั่งตรงข้าม จุดนี้เขายืนยันได้ผ่านการสัมผัส
ตัวตนฐานะนี้สำหรับเขา สามารถช่วยชีวิตให้รอดได้
นี่ต่างหากที่เป็นจุดสำคัญ
จากการคารวะอย่างนอบน้อมของเขา ผู้บำเพ็ญที่ไล่สังหารเข้ามาไม่ห่างไปนักคนนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แต่เมื่ออยู่ต่างตำหนักเทพกัน ทำให้เขาไม่สามารถสังเกตได้แม่นย่ำแบบชิวเชวี่ยจื่อ โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่สวี่ชิงจงใจเพิ่มการอำพราง
นอกจากนี้ ตัวตนฐานะเผ่ามนุษย์ของสวี่ชิงกับนายกอง ยังทำให้ผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์คนนี้ ในใจสงสัยขึ้นมาอย่างแรงกล้า
เขาไม่เคยเห็น และไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่าตำหนักเทพซิงเหยียนมีทูตเทวะเผ่ามนุษย์อยู่ สำหรับเผ่านภาคิมหันต์แล้ว เผ่าต่างๆ มากมายในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ถือเป็นเผ่าชั้นล่างทั้งสิ้น
ในนี้รวมถึงเผ่ามนุษย์ด้วย
เรื่องที่เผ่าชั้นล่างมาเป็นทูตเทวะ ถ้าหากปรากฏขึ้นจริง จะต้องก่อให้เกิดความสนใจแน่นอน
แล้วก็ภูเขาต้องห้ามสามลูกเหนือหัวสวี่ชิง ก็ยืนยันบางสิ่งบางอย่างได้จากอีกมุมหนึ่ง ถ้าหากเป็นทูตเทวะจริง จะมาร่วมการออกล่าครั้งใหญ่นี้ทำไมกัน
แต่เขาก็ไม่อยากไปเดิมพัน
ไม่ว่าอย่างไร ทูตเทวะสองคำนี้ ก็ยังทำให้ในใจเขาปะทุความพรั่นพรึงขึ้นมา จึงถอยห่างออกไปหน่อย จ้องมองสวี่ชิง สายตาเปล่งประกาย
ถ้าต้องปล่อยวางชิวเชวี่ยจื่อ ก็ไม่อยากจะยอมรับ
ถ้าจะลงมือต่อ ก็ยังไม่แน่ใจ
ฉากนี้พออยู่ในสายตาของนายกอง เขารู้สึกว่าน่าสนใจ เผ่านภาคิมหันต์สองคนตรงหน้านี้ คนหนึ่งคารวะให้ อีกคนหนึ่งลังเล
“บนฟ้าก็ยังมีอีกคนที่ดูความสนุกนี้อยู่…”
นายกองเงยหน้า สายตากวาดไปยังตำหนักวังบนท้องฟ้า
สวี่ชิงเองก็รำคาญ ไม่หันไปสนใจชิวเชวี่ยจื่อที่คารวะมายังตนเอง แต่มองไปทางผู้บำเพ็ญที่ตาเปล่งแสง เอ่ยขึ้นเสียงเย็ฯชา
“ทิ้งภูเขาต้องห้ามของเจ้าไว้เสีย จากนั้นจงออกไปซะ”
พอเสียงของเขาออกไป ผู้บำเพ็ญเผ่านภาพิมหันต์ที่ตาเปล่งแสงคนนั้น ในดวงตาประกายเย็นสว่างวาบ เขามองออกว่าสวี่ชิงพลังบำเพ็ญแค่สมบัติวิญญาณ คนที่อยู่ข้างๆ เขาก็เช่นกัน
พลังบำเพ็ญเช่นนี้แม้จะพอพอกับเขา แต่ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์ ต่างเผ่าขั้นเดียวกันน้อยคนนักที่จะมาเทียบเคียงเป็นศัตรู โดยเฉพาะเผ่ามนุษย์ ครั้งนั้นที่เขาไปฝึกฝนยังต่างแดน ก็เคยไปยังโลกของเผ่ามนุษย์ สังหารพวกคนที่เรียกว่าอัจฉริยะฟ้าประทานของที่นั่นไปไม่น้อย และหลอมไปก็มากมาย
ประสบการณ์ช่วงนี้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ส่วนใหญ่นั้นอ่อนแอ
ดังนั้นจึงรู้สึกเหยียดหยามจากก้นบึ้งจิตใจ
สิ่งเดียวคือเขายังสงสัยต่อตัวตนฐานะของคนที่ปรากฎตรงหน้าเขาตอนนี้ จึงระงับปณิธานฆ่าฟันไว้ก่อน เงยหน้าขึ้นฉับพลัน มองไปยังตำหนักวังสีทองบนฟากฟ้า โค้งตัวคารวะ
“นายท่าน ขั้นตอนการออกล่าครั้งใหญ่ของเผ่าเรา เกิดเรื่องที่ทูตเทวะต้องการภูเขาต้องห้ามขึ้น ถือเป็นการละเมิดกฎเกณฑ์ นายท่านโปรดตัดสินใจด้วย”
พอคำพูดนี้ออกไป ชิวเชวี่ยจื่อใจเต้นตึกตัก เรื่องที่อีกฝ่ายมองเห็น เขาเองก็เห็นแล้ว การสอบถามต่อชนชั้นสูงนภาคิมหันต์ ถือเป็นการตักถ่านออกจากเตา แม่นยำตรงจุด
กฎเกณฑ์ของการออกล่าครั้งใหญ่ ผู้ไม่มีคุณสมบัติ จะเข้าแทรกแซงมิได้
แน่นอนว่าภายใต้กฎเกณฑ์ก็ยังมีวิธีการบางอย่างอยู่ เพียงแต่มีข้อจำกัดเท่านั้น
บนท้องฟ้า ในตำหนักวังสีทอง ชนชั้นสูงนภาคิมหันต์คนนั้นมุมปากเผยรอยยิ้ม น้ำเสียงมีความทรงอำนาจ สะท้อนก้องที่ข้างหูของพวกสวี่ชิง
“คนผู้นี้ ไม่ใช่ทูตเทวะ…”
พอเสียงนี้ดังออกมา ผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์ที่แผ่พลังร้อนแรงทั่วร่างคนนั้น จิตสังหารในดวงตาก็แรงกล้าขึ้นฉับพลัน ทั้งตัวราวกับเป็นภูเขาไฟระเบิดลูกหนึ่ง เข้าประชุดสวี่ชิงทางนั้นในพริบตา
ตัวตนฐานะที่ทำให้เขาพรั่นพรึง ในเมื่อพิสูจน์แล้วว่าไม่มีอยู่ เช่นนั้นภูเขาต้องห้ามของคนตรงหน้านี้ เขาจะนำมันไป
เพียงแต่หลายครั้งที่การพัฒนาของเรื่องราว มักจะไม่ได้เป็นไปตามที่ผู้คนคิดเอาไว้
ผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์คนนี้พุ่งเข้ามาอย่างมั่นใจทรงพลัง จังหวะที่ประชิดตัว ร่างของสวี่ชิงก็ศลายไปต่อหน้าต่อตาเขา เขามองเห็นเพียงประกายเย็นเยียบ วาบผ่านไปในดวงตา


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา