บทที่ 83 เงามังกรทะเลลึก
ในเรื่องเล่าบอกลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิต หากออกทะเลแล้วพบภาพแปลกประหลาดนี้ จงอย่าขยับ อย่าไปแตะ และอย่าไปรบกวนอย่างยิ่ง
สวี่ชิงเงียบนิ่ง
เขานั่งขัดสมาธิในเรือเวท เงยหน้ามองผีร้ายหน้าตาเหี้ยมเกรียมดุร้ายจำนวนมหาศาลรอบกายกรีดร้องคำรามเสียงแหลมบาดหูเป็นระลอกๆ ลอยขึ้นท้องฟ้าไปเป็นกลุ่มตามบันทึกในโถงค้นคว้าท้องสมุทรที่ผุดขึ้นในหัว
‘เรื่องสำคัญที่บันทึกเอาไว้ในบันทึกท้องสมุทรไม่ใช่แก่นของเรื่องนี้’
สวี่ชิงมองท้องฟ้าพลางเอ่ยพึมพำในใจท่ามกลางความมืดเย็นเยือกของฟ้าดินรอบๆ
‘แต่ว่า…การเล่าพรรณนาต่อทุกสิ่งนี้กลับใช้คำว่าเรื่องเล่าไม่ใช่คำว่าตำนาน
‘เทียบกับตำนานแล้ว คำว่าเรื่องเล่านี้มักจะแทนภาพฉากหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง’ สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก จ้องมองรอบๆ
ผีร้ายมากมายนับไม่ถ้วนลอยไปทั่วฟ้าดิน ในขณะที่ลอยขึ้นลงไม่หยุด เสียงก็ยิ่งโหยหวนขึ้น ภาพนี้มากพอจะทำให้คนที่ขี้กลัวขวัญผวา หวาดกลัวตัวสั่นงันงก
แต่สำหรับสวี่ชิง เขาชินแล้ว
เขาเคยเห็นดวงตาของเทพเจ้า ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่แห่งความตายที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและสิ่งแปลกประหลาดกว่าครึ่งเดือน ตั้งแต่เด็กๆ ก็ยิ่งเคยเห็นความเป็นความตายในถ้ำยาจกที่ความเป็นมนุษย์มืดมนมามากมายเหลือเกิน
ทั้งยังผ่านการลับคมและพิธีต้อนรับจากป่าพื้นที่ต้องห้ามและสำนักเจ็ดเนตรโลหิต สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่จะพรากชีวิตไปได้ไม่ใช่แค่สิ่งแปลกประหลาดพวกนี้ แต่อะไรในโลกก็ตามแต่ล้วนทำให้คนตายได้ทั้งนั้น
ดังนั้น เหตุการณ์ระดับนี้สำหรับคนอื่นอาจจะสร้างความหวาดกลัวให้ได้ แต่สำหรับสวี่ชิง เขาสงบนิ่งมาก
สวี่ชิงในราตรีมืดมิดเหมือนจะได้ยินท่วงทำนองเพลงแว่วๆ จากในเสียงกรีดร้องโหยหวนของผีร้ายที่ลอยขึ้นฟ้าเหล่านี้ท่ามกลางการจ้องเพ่งที่สงบนิ่ง
มองไกลๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวเขาเองหรือเรือเวทลำนี้ ล้วนแต่เล็กจ้อยไร้ค่าในทะเลกว้างใหญ่แห่งนี้ ในขณะที่ลอยเคว้งคว้าง ก็ค่อยๆ ถูกขบวนร้อยภูตแห่งรัตติกาลปกคลุมจนมิด
มีเพียงแว่วเสียงทำนองเพลงที่ดังอยู่ข้างหูที่ชัดขึ้นเรื่อยๆ นานไม่หายไป…
ร้อยภูตเดินทางยามวิกาล ร้อยภูตร่ายระบำยามราตรี ร้อยภูตบรรเลงเพลงยามรัตติกาล
คืนนี้ เวลาค่อยๆ ไหลไปท่ามกลางความตื่นกลัวของเจ้าจงเหิง ท่ามกลางการตั้งใจฟังของสวี่ชิง ท่ามกลางความสงสัยใคร่รู้ในตัวสวี่ชิงของศิษย์พี่ติง
ท่วงทำนองแห่งรัตติกาลเลือนหายไปจากการมาเยือนของรุ่งอรุณ สวี่ชิงลืมตาขึ้น ในหัวยังก้องไปด้วยเสียงอันแผ่วเบาของแว่วเสียงท่วงทำนองเพลง
สายตาของศิษย์พี่ติงจับจ้องที่ร่างของสวี่ชิง ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ศิษย์น้องสวี่ เจ้าตั้งใจฟังทั้งคืนเลยหรือ ได้ยินอะไรบ้างหรือไม่”
สวี่ชิงไม่สนใจ ไม่ค่อยชอบถูกคนรบกวนในเวลาเช่นนี้ ดวงตาของเขาไม่กะพริบเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยังคงจมอยู่ในแว่วเสียงทำนองเพลงที่แผ่วเบาจนไม่อาจได้ยินในหัว
นี่ทำให้ศิษย์พี่ติงสงสัยมากขึ้นไปอีก ดังนั้นนางจึงเมียงๆ มองๆ สวี่ชิง มือขวาแตะไปที่ถุงเก็บของ กล่องหยกใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในทันใด แล้วยื่นมันออกไป
“ศิษย์น้องสวี่ ในนี้มีลูกกลอนใสกระจ่างเม็ดหนึ่ง ประสิทธิภาพในการหล่อเลี้ยงจิตใจและวิญญาณดีมาก ข้าให้ เจ้าบอกคำตอบให้ข้ารู้ดีหรือไม่”
เจ้าจงเหิงที่อยู่บนเรือวิหคหงส์ดวงตาถลึงเบิกโพลงทันที ลมหายใจหอบถี่ เกือบจะสะกดไฟในดวงตาเอาไว้ไม่อยู่ ลูกกลอนเม็ดนี้เป็นของกำนัลที่เขามอบให้ศิษย์พี่ติงตอนเห็นสีหน้าของนางหงุดหงิดรำคาญ…
ตอนนี้สวี่ชิงรำคาญ ศิษย์พี่ติงก็ให้ของกำนัลเหมือนกัน…
ภาพนี้ทำให้จิตใจของเขาคุ้มคลั่งแล้วโดยสมบูรณ์
“ลูกกลอนใสกระจ่างหรือ”
ความสนใจของสวี่ชิงถูกดึงดูดไปตามสัญชาตญาณ เขารู้จักลูกกลอนใสกระจ่าง และรู้ว่าราคาของลูกกลอนนี้ไม่ธรรมดาเลย มีจำนวนไม่มาก
ดังนั้นจึงแปลกใจเล็กน้อย หันกลับมารับกล่องหยกแล้วเปิดออกดู หลังจากดูและตรวจสอบพบว่าไม่มีปัญหา เขาก็เก็บมันลงไปในกระเป๋าเสื้อ
เห็นสวี่ชิงเก็บมันลงไป ศิษย์พี่ติงดีใจมาก ยิ้มตาหยีมองสวี่ชิง
“ศิษย์น้องสวี่ เจ้าบอกข้าเถอะ ข้ารู้ว่าในบันทึกสมุทรบอกไว้ว่าคนที่ได้ยินท่วงทำนองร้อยภูตมีไม่มาก มีเพียงผู้ที่โสตสัมผัสเฉียบคมเท่านั้นถึงจะได้ยิน”
สวี่ชิงพยักหน้า ดวงตาฉายแววย้อนระลึกความคิด
“ข้าได้ยินเสียงสอนสั่งของอาจารย์ในยามที่สอนเรื่องต้นไม้พืชพันธุ์ต่างๆ ให้กับข้า”
“ศิษย์น้องสวี่เจ้ารู้เรื่องต้นไม้ด้วยหรือนี่ ช่างเก่งกาจนัก” ศิษย์พี่ติงใบหน้าเต็มไปด้วยความเลื่อมใส ส่วนเจ้าจงเหิงที่อยู่บนเรือวิหคหงส์ใบหน้ากลับฉายแววดูถูก เบ้ปาก เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“ใครขี้โม้ไม่เป็นบ้าง!”
ศิษย์พี่ติงไม่สนใจเจ้าจงเหิงที่กำลังอิจฉาหึงหวงอยู่ นางถามเรื่องต้นไม้ใบหญ้าอยู่ข้างๆ สวี่ชิงอย่างกระตือรือร้น
สวี่ชิงเห็นแก่ลูกกลอนใสกระจ่าง แม้จะรู้สึกรำคาญแต่ก็ฝืนตอบไปหลายประโยค
ตลอดเส้นทางในการเดินทางต่อไปนั้นเห็นได้ชัดว่าเจ้าจงเหิงยิ่งร้อนรนใจขึ้นไปอีก เพื่อที่จะดึงให้ศิษย์พี่ติงกลับมาหาตัวเองก็เริ่มประจบประแจงต่างๆ นานา มอบของกำนัลให้อยู่เรื่อยๆ
เพียงแต่ศิษย์พี่ติงปฏิเสธด้วยสีหน้าเย็นชา ฝืนรับเอาไว้บ้างเมื่อจนปัญญาจริงๆ แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะย้ายเรือ อยู่บนเรือของสวี่ชิงเดี๋ยวๆ ก็ส่งเสียงหัวเราะราวกระดิ่งเงินมา นี่ทำให้ไฟร้ายเผาไหม้อวัยวะภายในของเจ้าจงเหิง
โดยเฉพาะระหว่างการเดินทางหลายวันต่อจากนี้ เสียงหัวเราะของศิษย์พี่ติงมากกว่ายามที่เจอเขาในหนึ่งปีเสียอีก กระทั่งว่าหลายๆ ครั้งเขาเห็นนางล้วนเป็นฝ่ายกระตือรือร้นหาหัวข้อสนทนาคุยกับสวี่ชิง ถามเรื่องเกี่ยวกับต้นไม้สมุนไพร แต่เจ้าจงเหิงรู้ดีว่า โดยปกติติงเสวี่ยแล้วไม่สนใจเรื่องสมุนไพรเลยแม้แต่น้อย
และหากสวี่ชิงไม่เอ่ยปากตอบ นางก็จะมอบของกำนัลให้เป็นค่าถาม และของกำนัลพวกนั้นล้วนเป็นสิ่งที่เขามอบให้นาง
ภาพนี้ทำให้หลายครั้งเจ้าจงเหิงเหมือนเห็นภาพลวงตา เหมือนว่าทุกอย่างนี้ช่างคุ้นเหลือเกิน ตัวเองกับศิษย์พี่ติง เหมือนว่า…สถานการณ์จะคล้ายๆ กัน
การค้นพบนี้ทำให้เจ้าจงเหิงเศร้าโศกสลดใจเหลือเกิน แต่จะให้ยอมแพ้เขาก็รู้สึกเจ็บใจ ทำได้แค่ฝืนเรียกกำลังใจ ลองพยายามแทรกเข้าไป อยากจะรักษาจังหวะก้าวให้เท่ากัน
กระทั่งว่าเพื่อดึงดูดความสนใจจากศิษย์พี่ติง เจ้าจงเหิงถึงขนาดว่าระเบิดพลังบำเพ็ญจับอสูรทะเลนานาชนิด เชื้อเชิญให้อีกฝ่ายลองชิม และวิธีนี้ก็พอจะมีประโยชน์อยู่บ้างจริงๆ นี่ทำให้หัวใจของเจ้าจงเหิงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
จวบจนเที่ยงวันของวันที่สาม ในขณะที่เรือเวทของสวี่ชิงและเรือวิหคหงส์กำลังเคลื่อนไปข้างหน้า ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องแหลมสูงดังมาจากฟ้า
สวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิบนเรือเวทลืมตามองขึ้นไป ก็เห็นบนท้องฟ้ามีนกทะเลบรรพกาลตัวหนึ่งกำลังบินวน ปีกทั้งสองข้างที่มีขนาดมหึมาและเรียวยาวมีขนาดถึงสองจั้งกว่าๆ ตัวสีครามมีจุดเปื้อนโคลนนิดๆ สิ่งที่ดึงความสนใจของคนมากที่สุดก็คือจะงอยปากที่น่าหวาดกลัวของมันที่ราวกับคีมเหล็กขนาดยักษ์สองอัน สามารถจินตนาการได้ถึงความน่ากลัวจากแรงกัดของมันได้เลย
และทะเลในตอนนี้กลับคลื่นลมสงบ นิ่งเงียบประดุจกระจกสีดำบานใหญ่มหึมาบานหนึ่ง มองออกไปไกลๆ ก็จะเห็นนกทะเลปรากฏตัวเพิ่มขึ้นบนท้องฟ้า
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา