บทที่ 845 ตัวอยู่ต่างบ้านต่างเมืองก็เป็นแขกต่างถิ่น
อสูรร้ายในแผ่นดินใหญ่ผืนคีรีจะรสชาติล้ำเลิศแค่ไหน สวี่ชิงไม่แน่ใจนัก แต่จากการแยกจากกันของเขากับนายกอง ในยามที่มาถึงถ้ำไม่ต้องเสียเงินที่นายกองว่า ความสูงส่งของเผ่านภาคิมหันต์ สวี่ชิงสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน
ในยามมหกรรมล่าเหยื่อ เมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามจะเปิดออก แต่ว่าราคาสินค้าในนั้นสูงอย่างมหาศาล ในเมื่อที่นี่เป็นศูนย์กลางของทั้งเผ่านภาคิมหันต์
และราคาสินค้าเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญทั่วไปจะสามารถแบกรับได้
ดังนั้นผู้บำเพ็ญเผ่าต่างๆ ที่เข้าร่วมการล่าเหยื่อ เมืองศักดิ์สิทธิ์ได้จัดที่พักอาศัยและพักผ่อนเอาไว้ให้
เพียงแต่พื้นที่เช่นนี้ มีข้อกำหนดของฐานะผู้เข้าพักอาศัยเข้มงวดมาก แบ่งเป็นชั้นบน ชั้นกลาง และชั้นล่าง
มีเพียงผู้บำเพ็ญเผ่านภาคิมหันต์และเผ่าชั้นสูงสุดยอดไม่กี่เผ่าเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์พักอาศัยในถ้ำชั้นบน ที่นั่นไม่ใช่แค่พลังวิญญาณเท่านั้นที่แยกสันโดษออกมา แต่ยังมีการเพิ่มพลังจากภูเขาเทพ ยิ่งแบ่งเป็นลานที่พักแยกเป็นส่วนๆ ด้วย
ไม่ว่าจะเป็นความงดงามของสภาพแวดล้อมหรือจะเป็นความเหมาะสมในการฝึกบำเพ็ญ ล้วนถือเป็นชั้นเลิศ
ส่วนถ้ำชั้นกลาง เป็นที่พักอาศัยของเผ่าที่สวามิภักดิ์ในเผ่านภาคิมหันต์ เทียบกันแล้วก็เรียบง่ายกว่ามาก
ส่วนถ้ำชั้นล่างเรียบง่ายที่สุด เปิดให้กับผู้เข้าร่วมจากเผ่าชั้นล่างนอกเหนือจากเผ่านภาคิมหันต์โดยเฉพาะ
สวี่ชิงแม้ตอนนี้ธงขุนเขาสายธารจะปักอยู่บนภูเขาเทพ เป็นอันดับที่หนึ่ง แต่ก็ไม่มีสิทธิ์อาศัยในถ้ำชั้นบนและชั้นกลาง เลือกได้แค่ชั้นล่างเท่านั้น
ในสายตาของเผ่านภาคิมหันต์ ผู้ที่ไม่ใช่เผ่าเดียวกันอีกทั้งไม่เลือกที่จะสวามิภักดิ์ ล้วนเป็นเผ่าชั้นล่างทั้งสิ้น
เรื่องนี้ต่อให้เป็นชิวเชวี่ยจื่อก็จนปัญญา แต่ว่าเขาก็ยังอยากจะใช้สิทธิ์ของตัวเองไปช่วยแลกถ้ำชั้นบนให้กับสวี่ชิง ดังนั้นจึงลองติดต่อกับผู้บำเพ็ญเผ่าตัวเองที่ดูแลรับผิดชอบถ้ำ
ความแข็งแกร่งอ่อนแอของเผ่าพันธุ์ ในหลายๆ ครั้งปรากฏให้เห็นจากร่างของบุคคล ความจริงแล้วชัดเจนมาก
นอกเสียจากมีความสามารถที่แท้จริงเฉพาะบุคคลที่สามารถฝ่าฟันทุกสิ่ง ถึงจะสามารถยกระดับสถานะให้เหนือกว่าเผ่าพันธุ์อื่นได้
เพียงแต่สวี่ชิงทางนี้ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ยังทำไม่ได้
และผู้บำเพ็ญเผ่านภาคิมหันต์ที่รับผิดชอบดูแลถ้ำ สำหรับพวกสวี่ชิงทั้งสองคนที่มาปรากฏอยู่ข้างหน้าตัวเอง ก็ย่อมไม่มีความรู้สึกดีอะไร
สำหรับการกระทำของชิวเชวี่ยจื่อ คิ้วขมวดขึ้น เอ่ยราบเรียบ
“ไม่ได้!”
“อยากจะอยู่ก็อยู่ ไม่อยากอยู่ก็ไป ทั้งเมืองศักดิ์สิทธิ์ใช้กฎนี้ทั้งนั้น”
พูดแล้วพูดบำเพ็ญเผ่านภาคิมหันต์ก็โยนป้ายถ้ำออกมาป้ายหนึ่ง จากนั้นก็หลับตาไม่สนใจพวกสวี่ชิงอีก
ชิวเชวี่ยจื่อถอนหายใจ เมียงมองสวี่ชิง เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“สหายสวี่ ฟ้ามืดมากแล้ว และเมืองศักดิ์สิทธิ์เมื่อตะวันตกดินก็จะมีคำสั่งห้ามออกข้างนอกยามวิกาล…เวลาก็ใกล้จะถึงแล้ว”
สวี่ชิงไม่สนใจระดับชั้นของที่พักอาศัย แต่ว่าเมื่อได้ยินคำว่าคำสั่งห้ามออกข้างนอกยามวิกาลสองตัวอักษรนี้ ประสาทสัมผัสเทพกวาดไปยังโลกภายนอก ดวงตะวันลาลับที่ปลายขอบฟ้า แต่ผู้คนที่สัญจรไปมารอบๆ ก็ยังคงหลั่งไหลไม่ขาดสาย ไม่เหมือนว่าใกล้จะคำสั่งห้ามออกข้างนอกยามวิกาลแม้แต่น้อย
“คำสั่งห้ามออกข้างนอกยามวิกาลกลับแค่ต่างเผ่าเท่านั้นล่ะสิ” นายกองเลิกคิ้ว ถือป้ายถ้ำขึ้นมา
“ไม่ต้องเสียเงิน ย่อมต้องพักอยู่แล้ว ไม่พักก็เสียสิทธิ์เปล่าๆ”
สวี่ชิงไม่พูดอะไร ดึงประสาทสัมผัสเทพกลับมา หลังจากพยักหน้าให้ชิวเชวี่ยจื่อ ก็ไปตามการนำทางของป้ายจากไปพร้อมกับนายกอง
ชิวเชวี่ยจื่อประสานหมัดคารวะ ในใจก็ทอดถอนใจนัก
เขาติดตามสวี่ชิงมาตลอดทาง รู้ดีถึงความน่าตื่นตะลึงของกำลังรบของอีกฝ่าย
“เป็นแค่ระดับสมบัติวิญญาณบริบูรณ์ก็มีกำลังรบระดับหวนสู่อนัตตาขั้นสี่… อัจฉริยะเช่นนี้ หากเกิดในเผ่านภาคิมหันต์ จะต้องได้รับการประจบประแจงอย่างแน่นอน เรียกได้กระทั่งว่าอัจฉริยะฟ้าประทาน”
“น่าเสียดาย น่าเสียดายนัก”
ชิวเชวี่ยจื่อถอนหายใจ มองเงาร่างของสวี่ชิงทั้งสองคนหายไปจนลับตา ตัวเองจึงจากไป
เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละนิด ดวงตะวันยามอาทิตย์อัสดงที่ปลายขอบฟ้าลาลับแล้วอย่างสมบูรณ์ ทันทีที่ดวงจันทร์กระจ่างลอยขึ้น สวี่ชิงและนายกองก็หาถ้ำที่เป็นของตัวเองได้แล้ว
พูดให้ถูกต้องก็ไม่นับว่าเป็นถ้ำ เป็นเพียงแค่บ้านชาวบ้านหลังหนึ่งก็เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นข้างในหรือข้างนอกล้วนง่ายๆ หยาบๆ บริเวณที่ตั้งก็ไกลกันดาร
แต่ว่าสำหรับที่ที่พักอาศัยสวี่ชิงไม่ได้สนใจมากนักมาโดยตลอดอยู่แล้ว แม้ว่าบ้านชาวบ้านหลังนี้จะง่ายๆ หยาบๆ แค่ไหน ก็ดีกว่าที่ที่เขาอาศัยในตอนที่ยังเด็กมากโข
ดังนั้นในบ้านหลังนี้ สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิลงอย่างสุขุม หลับตานั่งสมาธิ
ส่วนนายกองทางนั้นก็ท่าทางเหมือนไม่สนใจ อยู่ข้างๆ ถือแผ่นหยกแผ่นหนึ่งเอาไว้ ถ่ายทอดเสียงไม่หยุด ก็ไม่รู้ว่าติดต่ออยู่กับ
เช่นนี้เอง เวลาหนึ่งคืนหมุนผ่านไป
เช้าตรู่วันที่สอง นายกองทักทายสวี่ชิง ยักคิ้วหลิ่วตา
“อาชิงน้อย ข้าถามกระจ่างแล้ว ห่างจากด่านที่สองจะเริ่มขึ้นยังเหลือเวลาอีกตั้งหนึ่งเดือน เวลาเนิบช้า เจ้าพักผ่อนให้ดี ข้าวางแผนว่าช่วงนี้จะไปหารายงานข่าวมาสักหน่อย”
“ถือโอกาสจัดการเรื่องส่วนตัวบางอย่างไปด้วย”
นายกองเลียริมฝีปาก ในดวงตาแฝงด้วยรอยวาดหวังและความกระตือรือร้น ท่าทางแบบนั้นเหมือนกับคนที่มุ่งหน้าไปยังกระโจมขนนกที่สวี่ชิงเคยเห็นในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดเมื่อตอนเด็กๆ
“ท่านระวังตัวด้วย”
สวี่ชิงเอ่ยกำชับ
“วางใจเถอะๆ มีตำราหินไร้อักษรอยู่ กลิ่นอายของข้าไม่มีทางถูกค้นพบอย่างแน่นอน”
นายกองตบอกอย่างเคยชิน จากนั้นก็ถูไม้ถูมือ ไปจากที่พัก
สวี่ชิงส่ายหน้า หลับตานั่งสมาธิต่อไป
หลายวันผ่านไป
ในหลายวันนี้ สวี่ชิงไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย นายกองก็ยังไม่กลับมาเช่นกัน
จนกระทั่งตอนนี้ ภายใต้การปรับสมดุลในหลายวันนี้ของสวี่ชิง จิตใจที่เหนื่อยล้าจากการสังหารมาตลอดทาง ก็ฟื้นฟูกลับมา
“ออกไปเดินๆ สักหน่อย ดูว่าจะหาซื้อข้อมูลเกี่ยวกับแผ่นดินใหญ่ผืนคีรีสักหน่อยได้หรือไม่”
สวี่ชิงลืมตา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เดินออกไปนอกบ้าน


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา