บทที่ 968 ไฟรักดวงน้อย (1)
………………..
สะท้านฟ้าสะเทือนดินเป็นการบรรยายอย่างหนึ่ง
สำหรับแต่ละคนความหมายของฟ้าก็ต่างกัน
อย่างจักรพรรดินี ฟ้าสำหรับองค์ท่านคือเผ่ามนุษย์ องค์ท่านสามารถแบกรับทุกสิ่งอย่างเพื่อเผ่ามนุษย์ องค์ท่านอยากอุ้มชูทั้งเผ่าให้ยังคงเดินสวนทางในยุคที่ไม่ใช่กระแสวิถีมนุษย์
ส่วนฟ้าในใจสวี่ชิง คือคนที่เดินเข้ามาในใจเขาหลังผ่านเรื่องราวตลอดทาง
ไม่ว่าหัวหน้าเหลย ปรมาจารย์ไป่ อาจารย์ เอ้อร์หนิว จื่อเสวียน หลิงเอ๋อร์และคนอื่นๆ…ยังมีเหตุการณ์ภายนอกที่เกิดขึ้นเพราะคนเหล่านี้ เช่นเขตปกครองผนึกสมุทร เจ็ดเนตรโลหิตและแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์
เหล่านี้ล้วนเป็นสีสันในโลกของเขา และเป็นส่วนประกอบสำคัญในความเป็นมนุษย์ของเขา
ดั่งสมอเรือที่ทำให้ความเป็นเทพของเขามีไว้ใช้เพื่อความเป็นมนุษย์โดยตลอด ไม่มีวันเอนเอียง
โดยเฉพาะหลังฟื้นขึ้นมาครั้งนี้ ใช้เลือดเนื้อเสี้ยวหน้าสร้างร่างกายใจเขาย่อมถูกเปลี่ยนให้เป็นเทพ ดังนั้นสีสันของความเป็นมนุษย์จึงยิ่งสำคัญ
แต่สำหรับหวงเหยียน ฟ้าในใจเขา…
คือการเหลือบลงไปเห็นหญิงงานชวนตะลึงตอนเหาะเหินอยู่ตรงขอบฟ้าด้วยความทะนง
เงาร่างที่กวัดแกว่งกระบี่ใหญ่อยู่กลางทะเลต้องห้ามกลายเป็นฟ้าดินของเขา กลายเป็นโลกของเขา กลายเป็นทุกสิ่งของเขานับแต่นั้น
ทำให้เขายินดีแยกร่างลงมาไขว่คว้าโดยไม่สนฐานะหรือสิ่งอื่นใด
แม้หนทางยากลำบาก แต่เขายังคงยึดมั่น
ความทะนงของเขาลดลงได้เพื่อคนคนนั้น ความแข็งแกร่งของเขาอ่อนแอได้เพราะคนคนนั้น
ทั้งชีวิตเขาไม่เคยไปบูชาเสี้ยวหน้าตามคนส่วนใหญ่ ไม่เคยไปสนใจความเป็นความตายของสรรพชีวิต เขาเป็นถึงปักษาสวรรค์ทักษิณ ศีรษะเชิดขึ้นได้ตลอดเวลา
มีเพียงอยู่ต่อหน้าคนคนนั้น เขายินดีก้มมันลง
เพราะนี่คือความรักครั้งแรกของเขาผู้เป็นเผ่าปักษาสวรรค์เพียงหนึ่งในโลก
และจะเป็นครั้งเดียวในชาตินี้
ดังนั้นพอหวงเหยียนพูดจบ สวี่ชิงก็เดาสาเหตุได้
ศิษย์พี่หญิงโกรธแล้ว
“ไม่ได้การ พวกเราต้องออกเดินทางเดี๋ยวนี้!”
หวงเหยียนหายใจเข้าลึก พลันเคลื่อนกายแปลงร่างเป็นวิหคเพลิงสวรรค์
ทะเลต้องห้ามมืดพลัน
บนนภา เงาร่างมหึมาบดฟ้าบังตะวัน พลังน่าสะพรึงกลัวถึงขั้นสุดในพริบตา
ผ่านบริเวณใดฟ้าดินเปลี่ยนสี ขณะกระพือปีก ลมพัดเมฆแผ่คลุม
ความน่าเกรงขามของเจ้าแห่งปักษาสวรรค์ทักษิณอัดแน่นทะเลต้องห้ามในยามนี้
เรื่องความรักของหวงเหยียนกับศิษย์พี่หญิงรอง สวี่ชิงนับว่าเป็นพยานมากว่าครึ่ง ตอนนี้จึงก้าวตามไปบนท้องฟ้า
ตามด้วยฟ้าแลบไร้สิ้นสุด เงาร่างของพวกเขาพลันหายไปในขอบฟ้า
เป้าหมายคือหมู่เกาะแห่งหนึ่งบนทะเลต้องห้ามที่ห่างจากตรงนี้ประมาณหนึ่ง
“พวกเราเจ็ดเนตรโลหิตจะมีการประลองครั้งใหญ่ทุกรอบหลายสิบปี ตอนนั้นเกาะเงือกก็ด้วย เจ้ากับข้าต่างเข้าร่วมแล้ว และการประลองใหญ่ครั้งนี้กำลังดำเนิน โดยมีศิษย์พี่หญิงเป็นผู้ควบคุม”
“สถานที่ฝึกซ้อมคือเผ่าเต่าทะเลยักษ์”
“เมื่อครู่ศิษย์พี่หญิงส่งเสียงมาให้ข้า บอกว่าเผ่าเต่าทะเลยักษ์เรียกเทพเจ้าของพวกมันออกมา ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตประเภทเทพอย่างหนึ่ง”
ระหว่างห้อตะบึง เสียงของหวงเหยียนดังก้องอยู่ในจิตใจสวี่ชิง
ในสายตาผู้แข็งแกร่ง สิ่งมีชีวิตประเภทเทพไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไรอยู่แล้ว หลายเดือนนี้สวี่ชิงสังหารไปเจ็ดแปดตัว
หากหวงเหยียนออกมือ หนึ่งลมปราณก็คงสังหารมันได้
แต่ทำให้ศิษย์พี่หญิงโมโห เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ใหญ่ทีเดียว
ดังนั้นสวี่ชิงจึงสีหน้าขรึมลง พยักหน้าและมุ่งไปเต็มความเร็ว
“งั้นพวกเราเร่งความเร็วหน่อย!”
ได้ยินสวี่ชิงกล่าวเช่นนี้ หวงเหยียนตะโกนว่าสหายรักและเร่งความเร็วตามไปด้วย
ขณะห้อตะบึงสุดกำลัง พลังต้นกำเนิดเทพในกายสวี่ชิงปรากฏขยายทั่วร่าง คนทั้งคนดูแล้วถึงกับเปล่งรัศมีสีทองออกมา
ผสานสีเงินที่สะท้อนจากร่างเป็นบางครั้ง ราวกับเทพมารกระนั้น
ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นความเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมร่างกายอันประกอบด้วยเลือดเนื้อเสี้ยวหน้า
ในร่างกายเขามีเลือดเนื้อเสี้ยวหน้ากับปรอทเซียนอยู่ด้วยกัน อย่างแรกสร้างกาย อย่างหลังกลับเป็นสื่อผสานเลือดเนื้อเสี้ยวหน้า
ส่วนแสงเซียนตะวันดับจะค่อยๆ หลอมปรอทเซียนระหว่างเพิ่มความเร็วการผสานวิญญาณกับกายเนื้อ กระทั่งในกายสวี่ชิงไม่มีเซียนปรอทอีกต่อไป นั่นก็จะเป็นเวลาที่ร่างกายและวิญญาณเขาเป็นหนึ่งเดียวโดยสมบูรณ์
ส่วนกายเนื้อที่สร้างจากเลือดเนื้อเสี้ยวหน้า การเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินที่มาพร้อมกันนั้นไม่เพียงยกระดับพลังกายเนื้อ ยังส่งผลมหาศาลต่อด้านต่างๆ ของสวี่ชิง
ผืนอนัตตาในร่างเขาตอนนี้กลายเป็นสีทองโดยสมบูรณ์
บนผืนอนัตตาสีทองนั้นนาบอักขระเทพแวววามไว้สี่ตัว
นั่นคือหนึ่งแก่นวิญญาณและสามอำนาจเทพเจ้า
แก่นวิญญาณเกิดจากวิถีเวท วิถีจักรพรรดิรวมถึงวิชาผู้บำเพ็ญทั้งหลายที่สวี่ชิงฝึกฝน ในนั้นจะเจอร่องรอยทั้งหมดอันมีสายเซียนต่างวิถีเป็นหลัก
มันล้อมรอบพรมแดนอนัตตาทั้งผืน หัวท้ายเชื่อมโยงเป็นวงแหวนมหึมาชวนตะลึง
มันแบ่งเขตแดนให้อนัตตา เป็นร่องรอยของเซียนต่างวิถี!
ส่วนสามอำนาจเทพเจ้าแบ่งเป็นตัวแทนจันทร์สีม่วง เคราะห์หายนะและคำสาปเทพเจ้า
เหล่านี้เทียบกับสวี่ชิงในอดีตจะไม่มีความแตกต่างเท่าไร ที่มีความต่างจริงๆ คือร่องรอยอำนาจเทพเจ้าบนผืนอนัตตาเหล่านั้น ด้วยยังไม่ตื่นรู้และไม่ได้ครอบครองอย่างแท้จริง ร่องรอยจึงตื้นบาง
เดิมมีหนึ่งร้อยสาย
แต่ตอนนี้…จำนวนมันพุ่งขึ้นไปกว่าพัน!
สวี่ชิงเคยสัมผัสได้ หากวันหนึ่งตนตื่นรู้อำนาจเทพเจ้าร้อยสายนั้นได้ทั้งหมด ทำให้พวกมันสว่างแวววามทุกเส้น ตอนนั้นเขาจะอยู่ในขั้นสูงสุดของหวนสู่อนัตตา
และตอนนี้…


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา