ผูกรักท่านประธานพันล้าน นิยาย บท 109

เทียนเอินพักผ่อนอยู่ในห้องนั่งเล่นสักพัก ส่วนทางด้านเซิ่งอันหรานก็ถึงเวลาเลิกงานแล้วเช่นกัน เธอไปพักผ่อนที่เลานจ์ของโรงแรมสักพัก จากนั้นก็ไปรับเด็กๆที่โรงเรียน

"คุณก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ" เซิ่งอันหรานยิ้ม เมื่อเจอเทียนเอิน "เสี่ยวจังบอกว่าเมื่อตอนบ่ายคุณไปที่เมืองมหาวิทยาลัย แล้วได้อะไรมาบ้าง ?"

เทียนเอินส่ายหัว "สำหรับผมแล้วที่นั่นเป็นสถานที่ที่อยู่ในความทรงจำของผม แต่ผมก็ยังจำอะไรไม่ได้"

เทียนเอินสัมผัสได้ถึงความผิดหวังที่ส่งผ่านดวงตาของเซิ่งอันหราน แต่เขาก็ยังคงปลอบโยนเธอ "มันก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่เป็นไร ถ้าจะพูดไปแล้วเมืองวิทยาลัยก็ไม่ใหญ่ มาก รอให้ถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ผมกับคุณค่อยลองไปสอบถามดู "

เทียนเอินยิ้ม ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยกังวลเกี่ยวกับการรื้อฟื้นเรื่องความทรงจำและตัวตนของเขาเลย

“คืนนี้เราทานอาหารเย็นด้วยกันนะ ผมหาร้านดีๆไว้แล้ว”

"ได้เลย "

เมื่อเห็นเซิ่งอันหรานตอบตกลงอย่างง่ายดาย สีหน้าของอวี้จิ่งซีก็เปลี่ยนไปในทันที เขารีบเขียนคำลงบนกระดานวาดภาพและถือไว้เพื่อให้เซิ่งอันหรานเห็น

“คุณบอกว่าจะไปบ้านของผมไม่ใช่เหรอ ?”

เซิ่งอันหรานลูบไปที่ศีรษะของเด็กชาย และอธิบายด้วยรอยยิ้ม

“ฉันก็ต้องการไปที่บ้านของเธอนั่นแหละ แต่ทว่าตอนบ่าย พ่อบ้านได้โทรมาบอกว่าคืนนี้ คุณพ่อของเธอจะต้องไปทำงานนอกสถานที่ และฉันไม่วางใจที่จะปล่อยให้เธอกับเสี่ยวซิงอยู่ที่นั่นสองคน ดังนั้น วันนี้เธอควรกลับไปอยู่ที่บ้านของฉันก่อน แล้วพรุ่งนี้ฉันค่อยไปส่งพวกเธอที่บ้าน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น คิ้วของอวี้จิ่งซีก็ขมวดแน่นขึ้น

เวลาสำคัญขนาดนี้ ทำไมคุณพ่อยังจะไปทำงานนอกสถานที่อีก ผู้ใหญ่มักจะใจกว้างแบบนี้น่ะเหรอ ?

แม้ว่าจะรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจ แต่ก็ทำได้เพียงตามพวกเขาทั้งสองคนไปทานอาหาร หลังจากที่มาถึงสถานที่ทานอาหารแล้ว อวี้จิ่งซีก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก

ความคึกคักของตลาดกลางคืนในเมืองวิทยาลัย เด็กหนุ่มและเด็กสาวเดินไปตามถนนที่มีแผงขายอาหารนานาชนิด กลิ่นหอมของอาหารคละคลุ้งไปตามถนน เซิ่งเสี่ยวซิงมองดูรอบๆอย่างตั้งใจ

“ว้าว!ดูคึกคักจัง!”

เมื่อได้ยินคำอุทานของเซิ่งเสี่ยวซิง เซิ่งอันหรานก็พูดขึ้นว่า "ฉันไม่ได้มาตลาดกลางคืนในประเทศแบบนี้มาหลายปีแล้ว คุณหาที่นี่พบได้อย่างไร?"

“สถานที่นี้มันอยู่ในความทรงจำของผม” ดวงตาของเทียนเอินเผยรอยยิ้มที่ชัดเจน “แต่ก็จำไม่ได้ว่ามากับใคร แต่รู้สึกว่าจะมาที่นี่บ่อยๆ เลยอยากพาคุณมา ผมจำได้ว่าที่นี่มีแผงขายอาหารขนาดใหญ่ที่สะอาดและขายดีมากๆ”

เซิ่งอันหรานถามขึ้นพลางมองไปรอบๆ

“คุณไม่ได้หมายถึงร้านปิ้งย่างของป้าจางหรอกใช่ไหม ”

“คุณรู้ได้ยังไง”เทียนเอินชะงักไปครู่หนึ่ง

“เมื่อ 6 ปีที่แล้ว ผมเรียนที่มหาวิทยาลัยเภสัชในเมืองวิทยาลัยแห่งนี้ แผงขายอาหารร้านที่ดังที่สุดในย่านนี้ แม้ว่าจะผ่านไปหลายปีแล้วแต่ก็ยังคงดำเนินกิจการอยู่ แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยมีโอกาสได้มาเลย "

“คราวนี้ถึงว่าเป็นการชดเชยความเสียใจ” เทียนเอินกล่าวต่อ จากนั้นทั้งกลุ่มก็เดินตรงไปที่แผงขายอาหาร

นี่ขนาดยังไม่มืด แผงขายอาหารก็ตั้งเต็มไปหมด มีคนเข้าๆ ออกๆ อย่างไม่ขาดสาย โชคดีที่เรามากันเร็ว ดังนั้นจึงยังพอมีที่ให้นั่งรับประทาน

เทียนเอินสั่งอาหารได้อย่างเชี่ยวชาญ จากนั้นก็ส่งเมนูให้พนักงานเสิร์ฟ

"นอกจากของปิ้งย่างเสียบไม้แล้ว ขอเป็นบะหมี่เนื้ออีกสองชามสำหรับเด็ก อีกชามไม่ต้องใหญ่มากและไม่เอาเผ็ด"

หลังจากที่พนักงานเสิร์ฟเดินออกไป เทียนเอินก็หันไปมองเซิ่งอันหราน และพบว่าเธอกำลังมองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ต่างอะไรกับเซิ่งเสี่ยวซิง

“คุณไม่เคยมาทานอาหารที่แผงขายอาหารในตลาดกลางคืนแบบนี้มาก่อนหรือ ? ”

“ใช่แล้วล่ะ ” เซิ่งอันหรานหันกลับมาและยิ้มอย่างเขินอาย

“ฉันไม่ค่อยมีเพื่อนในประเทศจีนมากเท่าไหร่ และส่วนมากพวกเขาก็ไม่ค่อยชอบมาสถานที่แบบนี้ แม้ว่าฉันจะอยากมามากๆ แต่ฉันก็ไม่เคยมีโอกาสเลยสักครั้ง ”

พอพูดถึงเรื่องต่างๆในปีนั้น ก็ถือว่าโล่งอกไปได้บ้าง แต่ความรู้สึกตอนนั้นถูกเก็บกดเอาไว้มาหลายปีจริงๆ

หลายปีก่อนที่เมืองจินหลิง เนื่องจากความสัมพันธ์เกี่ยวกับเซิ่งอันเหยา ทำให้ไม่มีใครในโรงเรียนกล้าที่จะเป็นเพื่อนกับเธอเลย เธออยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็ไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกันกับเซิ่งอันเหยา จนกระทั่งตอนที่เธอเรียนมหาลัย เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอกลายมาเป็นมือที่สามในความรักของเธอ จากไปกับชายที่เธอรักโดยไม่หันกลับมามองดูเธอเลยแม้แต่น้อย

เทียนเอินมองเห็นการแสดงออกทางแววตาของเซิ่งอันหราน เขาเข้าใจความรู้สึกของเธออย่างอธิบายไม่ถูก ราวกับว่าเขาเคยมีประสบการณ์ในวัยเด็กเช่นนี้มาก่อน "ดูเหมือนผมก็น่าจะไม่มีเพื่อนเลยเหมือนกัน"

เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า "ไม่เช่นนั้น ผมหายตัวไปนานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงได้ไม่มีข่าวคราวอะไรจากตำรวจเลยล่ะ"

"ไม่เป็นไร มันต้องใช้เวลา"

หลังจากคุยกันไปสักพัก พนักงานเสิร์ฟก็เริ่มยกจานขึ้นโต๊ะทีละจาน

“ปีกไก่ย่างของที่นี่อร่อยมากๆเลยนะ เสี่ยวซิงซิงทานได้ไหม?ลองชิมดูสักนิดสิ ”

“ไม่เป็นไรหรอก เธอไม่มีอะไรที่ทานไม่ได้ ของพวกนี้ทานเป็นครั้งคราวก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ” เซิ่งอันหรานรูดปีกไก่ออกจากไม้เสียบและวางในจานของ เซิ่งเสี่ยวซิง” กินเถอะ"

“ผมไม่ได้กังวลกับเสี่ยวซิงซิงสักเท่าไหร่หรอก แต่กังวลคุณชายน้อยท่านนี้ต่างหาก” เทียนเอินเหลือบไปมองอวี้จิ่งซี “ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยทานอาหารตามแผงลอยริมถนนมาก่อน เขาน่าจะไม่ชินกับมัน”

เซิ่งอันหรานหันกลับมองมองที่อวี้จิ่งซี เธอเห็นอวี้จิ่งซีสีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก เขานั่งมองบะหมี่ที่อยู่ตรงหน้าไม่ขยับ และดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจไก่ย่างที่อยู่บนโต๊ะด้วยซ้ำ

“ทำไมเหรอจิ่งซี ? ไม่อยากทานเหรอ ? ” เซิ่งอันหรานดูเป็นกังวล

อวี้จิ่งซีขมวดคิ้วและส่ายหัว มีข้อความเขียนบนกระดานเล็ก ๆ ว่า "ผมอยากกินบะหมี่ที่คุณทำ"

เซิ่งอันหรานไม่รู้ว่าจะทำยังไง เธอลูบหัวของเด็กน้อยอย่างจำใจ "ตกลง กลับไปแล้วฉันจะทำให้ แต่ตอนนี้ได้เวลาทานอาหารแล้ว กินอะไรรองท้องสักหน่อยได้ไหม?พอพวกเราทานอาหารเสร็จก็จะรีบกลับเลยทันที "

เมื่อได้ยินเช่นนี้ อวี้จิ่งซีก็พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ และทานบะหมี่ที่อยู่ตรงหน้าอย่างช้าๆ

อวี้จิ่งซีถูกเลี้ยงตามใจมาตั้งแต่เด็ก จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าเขาไม่ชินกับบรรยากาศแผงขายอาหารแบบนี้ เซิ่งอันหรานเข้าใจดี และแม้ว่าเธออยากจะทานอาหารให้เสร็จเร็วๆและกลับบ้านไป แต่ทว่าเซิ่งเสี่ยวซิงนั้นยังคงหลงใหลกับรสชาติอร่อยของอาหาร และหยุดไม่ได้ สุดท้ายเซิ่งเสี่ยวซิงก็สั่งปีกไก่กลับบ้านไปทานด้วย

หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ เซิ่งอันหรานขับรถไปส่งเทียนเอิน กลับไปพักที่โรงแรม ก่อนที่จะพาเด็กทั้งสองคนกลับบ้าน

หลังจากกลับถึงบ้าน เธอยังไม่ลืมเรื่องที่จะทำบะหมี่ให้กับอวี้จิ่งซี แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ค่อยจะอยากอาหารแล้ว อวี้จิ่งซีทานได้เพียงครึ่งชาม จากนั้นก็วางตะเกียบลง

ในช่วงตกดึก เซิ่งอันหรานถูกปลุกให้ตื่นขึ้นโดย เซิ่งเสี่ยวซิง

“หม่าม้า หม่าม้าเกิดเรื่องแล้ว”

เธอลุกขึ้นนั่งด้วยความงัวเงีย “เกิดอะไรขึ้น ?”

“พี่จิ่งซีปวดท้อง จนกลิ้งลงไปนอนอยู่ที่พื้นแล้ว”

เมื่อได้ยินดังนั้น เซิ่งอันหรานก็มีสติขึ้นมาในทันที เซิ่งอันหรานดีดตัวลุกขึ้นจากเตียง และวิ่งไปที่ห้องนอนของอวี้จิ่งซีด้วยเท้าเปล่า เมื่อเธอเห็นร่างเล็กๆ ของเขานอนขดตัวอยู่ที่พื้น เธอตกใจเป็นอย่างมาก

"จิ่งซี จิ่งซี..."

เมื่อเธอยื่นมือออกไปแตะที่หน้าผากของเด็กชาย จิ่งซีตัวร้อนมาก และตอนที่เธอพยุงเด็กน้อยขึ้นมา ปรากฏว่าเขาได้อาเจียนออกมา

“หม่าม้า เกิดอะไรขึ้น ?” เซิ่งเสี่ยวซิงหน้าซีดด้วยความตกใจ น้ำเสียงของเธอดูเบาลงมาก

“เสี่ยวซิงซิง ลูกนอนอยู่บ้านคนเดียวไปก่อนได้ไหม? หม่าม้าจะพาจิ่งซีไปโรงพยาบาลโอเค ?”

"หนูจะไปกับหม่าม้าค่ะ"

"เชื่อฟังนะ เด็กดี "

หลังจากได้พูดกับเซิ่งเสี่ยวซิงสองประโยค เซิ่งอันหรานก็อุ้มอวี้จิ่งซีลงไปขึ้นรถทางด้านล่างและขับตรงไปที่โรงพยาบาล เธอรีบขนาดไม่มีเวลาแม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า ระหว่างรอด้านนอกห้องฉุกเฉิน พ่อบ้านของตระกูลอวี้ก็รีบเดินทางมาถึงเช่นกัน

“คุณชายน้อยเป็นอะไรไป ? ตอนบ่ายที่ผมเห็นคุณชายน้อยยังดีๆอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ?”

เซิ่งอันหรานมีท่าทางรู้สึกผิด “ไม่รู้สิ การอาเจียนและท้องเสียอาจเกิดจากการทานของที่ไม่สะอาด เมื่อช่วงเย็นฉันพาจิ่งซีไปที่แผงขายอาหารริมทางเพื่อไปทานบะหมี่ แต่เขาไม่ได้กินเยอะขนาดนั้น เขาทานเพียงสองสามคำเท่านั้น มันไม่น่าจะเป็นอย่างนี้เลย "

“แผงขายอาหารข้างทาง ?” สีหน้าของพ่อบ้านเปลี่ยนไป “ทำไมคุณถึงได้ปล่อยให้คุณชายน้อยทานอาหารตามแผงอาหารข้างทางได้ล่ะ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน