ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น น้าสะใภ้ก็กลับมาพร้อมกับเด็กสองคน
“หม่าม้า!”
ทันทีที่เซิ่งเสี่ยวซิงเห็นเซิ่งอันหราน เธอก็รีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ แต่ทว่าอวี้จิ่งซีกลับดูทีท่าทางที่เหนื่อยล้า เขาค่อยๆเดินไปและนั่งลงบนโซฟา และกอดแขนของเซิ่งอันหรานไว้ ราวกับว่าเขากำลังจะหลับ
“ฉันก็เพิ่งบอกไปว่าเด็กคนนี้มีร่างกายอ่อนแอ วิ่งได้ไม่เท่าไหร่ ก็เป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว เลี้ยงตามใจจนเสียนิสัย ” น้าสะใภ้มีสีหน้าไม่สบอารมณ์
เซิ่งอันหรานจำใจ เธอยื่นมือออกไปสัมผัสที่ศีรษะของอวี้จิ่งซี และกล่าวอธิบายว่า "ไม่โทษเขาหรอกค่ะ จิ่งซีมีร่างกายที่อ่อนแอและป่วยแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนที่เขาเป็นเด็กเคยเป็นไข้หนักจึงทำให้เขาไม่สามารถพูดได้ จากนั้นร่างกายก็อ่อนแอมาจนถึงทุกวันนี้ ”
“เพราะเป็นไข้สูง ทำให้เขาพูดไม่ได้อย่างนั้นเหรอ ?” น้าสะใภ้วางแก้วน้ำดื่มลงและจ้องไปที่อวี้จิ่งซี “ไม่เคยพูดเลยหรือยังไง ?”
เซิ่งอันหรานขมวดคิ้ว “ก็ไม่เชิงว่าไม่เคยพูดเลย ฉันเคยได้ยินอวี้หนานเฉิงบอกว่า ในปีนี้เขาพูดออกมาแล้วสองครั้ง”
"ดูท่าแล้วไม่ง่ายเลยนะเนี๊ย" น้าสะใภ้มองไปที่เซิ่งอันหรานด้วยความแปลกใจ "ตระกูลใหญ่เช่นตระกูลอวี้ รุ่นของอวี้หนานเฉิงมีแค่อวี้หนานเฉิงเพียงคนเดียว หากว่าไร้ทายาทสืบทอด คงจะมีผู้รับผลประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว เด็กน้อยผู้นี้อาจจะโตขึ้นมาอย่างไม่ปลอดภัยก็ได้"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซิ่งอันหรานก็ตกใจ เธอมองไปน้าสะใภ้ด้วยความประหลาดใจ
ก่อนหน้านี้เคยได้ยินคุณตาพูดว่า ตอนที่น้าสะใภ้อายุยังน้อย เธอเคยมีลูกมาก่อน ต่อมาก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน แต่ตั้งนั้นเป็นต้นมา ครอบครัวของคุณอาใหญ่และคุณอารองที่ก่อนหน้านี้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน จู่ๆ ก็ได้เลิกไปมาหาสู่กัน จนถึงตอนที่คุณลุงรองหย่าร้างและแต่งงานใหม่ ทั้งสองครอบครัวถึงได้มีการปรับความเข้าใจกัน
เมื่อก่อนก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ มานึกย้อนดูแล้วเรื่องเก่าๆก่อนหน้า เมื่อนึกถึงก็ทำให้รู้สึกเย็นยะเยือกได้เหมือนกัน
เมื่อต้องเผชิญกับความมั่งคั่งมหาศาล คนส่วนใหญ่มักจะสูญเสียสติ
น้าสะใภ้กำลังเตือนเธออยู่ อาการไข้สูงของจิ่งซีที่เกิดกับเขาในตอนเด็ก อาจจะไม่ใช่อุบัติเหตุหรือเรื่องบังเอิญ และเรื่องแบบนี้อาจจะเกิดขึ้นกับเขาได้ตลอด ไม่นานจากนั้น เธอก็สามารถปะติดปะต่อและนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้ ตอนที่เธอเจอจิ่งซีครั้งแรก ตอนที่แชนเดอเรียหล่นลงมา
“ระวังตัวไว้แต่เนิ่นๆ อย่าไปเชื่อหรือไว้ใจใคร” เสียงของน้าสะใภ้ดึงเอาสติของเซิ่งอันหราน กลับคืนมา
เธอมองไปที่น้าสะใภ้ เซิ่งอันหรานเห็นเธออยู่ในชุดกีฬาและกำลังยืนอยู่หน้าบาร์ในครัว เพื่อชงกาแฟ สาวใหญ่ในวัยห้าสิบปีรูปร่างสูงหุ่นดี มีออร่าที่ยอดเยี่ยม และสิ่งที่เธอพูดก็ฝังลึกอยู่ในใจของเซิ่งอันหราน
หลังจากพูดคุยกันสักพัก เซิ่งอันหรานก็ออกไปพร้อมกับเด็กๆทั้งสอง
“ฉันจะพาจิ่งซีและเสี่ยวซิงซิงไปก่อนนะคะ ถ้ามีเวลาว่างจะพาพวกเขามาเยี่ยมคุณใหม่ ”
“เดี๋ยวก่อน” น้าสะใภ้เดินเข้ามา พร้อมกับยื่นกุญแจให้ “ของ ๆ ตัวเองก็ต้องไปเอาด้วยตัวเอง”
“ฉันไม่ต้องการหรอกค่ะ”
“คราวที่แล้วตอนมาขอมรดกของแม่ไม่ใช่อย่างนี้นี่? นี่เป็นเพียงมรดกส่วนเล็กๆ ที่ของแม่เธอฝากไว้ที่ฉัน เพื่อให้เธอได้มีที่ซุกหัวนอนในตอนที่กลับมาจากต่างประเทศเท่านั้น อย่าทำตัวเหมือนเซิ่งชิงซาน ที่ไม่คิดที่จะเรียนรู้อะไรเลย อย่าทำนิสัยมองไม่เห็นหัวใครในตระกูลเหมือนอย่างที่เขาทำ? ทำไมน่ะเหรอ เงินของตระกูลแม้แต่แดงเดียว เขายังไม่คิดที่จะให้เธอเลย แล้วเธอคิดหรือว่า เขาจะยกสมบัติที่เขามีทั้งหมดให้เธอเป็นคนสืบทอดต่อจากเขา?”
หลังจากที่น้าสะใภ้ด่าทอต่อว่าคนน้อยใหญ่ของตระกูลเซิ่งทั้งหมดไปแล้วหนึ่งรอบ แต่ทว่าเธอไม่ได้ใช้คำหยาบคายแม้แต่คำเดียว ตอนที่เธอกำลังด่า เซิ่งอันหรานรู้สึกเหมือนว่ามีลมเย็นๆพัดผ่านบริเวณซอกคอ เธอรู้สึกหนาวพร้อมกับชาไปทั้งตัว ดังนั้นเธอจึงได้เพียงแค่กัดฟัน และยื่นมือออกไปรับเอากุญแจ
ตั้งแต่ที่เซิ่งอันหรานออกมาจากบ้านตระกูลเซิ่ง อวี้จิ่งซีก็นอนอยู่ในอ้อมแขนของเธอ ในขณะที่ เซิ่งเสี่ยวซิงเต็มไปด้วยพลังงานและดูมีชีวิตชีวามาก เธอถามคำถามด้วยความสงสัย "หม่าม้า ทำไมคุณยายสะใภ้ถึงได้เกลียดคุณตามากขนาดนั้น?"
“คุณยายสะใภ้ไม่ได้บอกหนูเหรอ ?”
“บอกแล้ว คุณยายสะใภ้บอกว่ามีความแค้นกับคุณตา และยังต่อว่าด่าทอคุณตาซะยกใหญ่ แต่หนูฟังไม่เข้าใจ แต่มันดูรุนแรงมาก” ซิงซิงน้อยกะพริบตา “แต่หม่าม้าเคยบอกว่า ไม่ให้ฟังความข้างเดียว ดังนั้นหนูจึงอยากฟังจากปากของหม่าม้า”
เซิ่งอันหรานยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เธอตีเบาๆไปที่หน้าผากของซิงซิงน้อย “อันนั้นไม่เรียกว่าฟังความข้างเดียว เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กไม่ควรถามมากเกินไป และก็ไม่ต้องไปแบกภาระไว้ซะทุกอย่าง ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน