ผูกรักท่านประธานพันล้าน นิยาย บท 143

ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น น้าสะใภ้ก็กลับมาพร้อมกับเด็กสองคน

“หม่าม้า!”

ทันทีที่เซิ่งเสี่ยวซิงเห็นเซิ่งอันหราน เธอก็รีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ แต่ทว่าอวี้จิ่งซีกลับดูทีท่าทางที่เหนื่อยล้า เขาค่อยๆเดินไปและนั่งลงบนโซฟา และกอดแขนของเซิ่งอันหรานไว้ ราวกับว่าเขากำลังจะหลับ

“ฉันก็เพิ่งบอกไปว่าเด็กคนนี้มีร่างกายอ่อนแอ วิ่งได้ไม่เท่าไหร่ ก็เป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว เลี้ยงตามใจจนเสียนิสัย ” น้าสะใภ้มีสีหน้าไม่สบอารมณ์

เซิ่งอันหรานจำใจ เธอยื่นมือออกไปสัมผัสที่ศีรษะของอวี้จิ่งซี และกล่าวอธิบายว่า "ไม่โทษเขาหรอกค่ะ จิ่งซีมีร่างกายที่อ่อนแอและป่วยแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนที่เขาเป็นเด็กเคยเป็นไข้หนักจึงทำให้เขาไม่สามารถพูดได้ จากนั้นร่างกายก็อ่อนแอมาจนถึงทุกวันนี้ ”

“เพราะเป็นไข้สูง ทำให้เขาพูดไม่ได้อย่างนั้นเหรอ ?” น้าสะใภ้วางแก้วน้ำดื่มลงและจ้องไปที่อวี้จิ่งซี “ไม่เคยพูดเลยหรือยังไง ?”

เซิ่งอันหรานขมวดคิ้ว “ก็ไม่เชิงว่าไม่เคยพูดเลย ฉันเคยได้ยินอวี้หนานเฉิงบอกว่า ในปีนี้เขาพูดออกมาแล้วสองครั้ง”

"ดูท่าแล้วไม่ง่ายเลยนะเนี๊ย" น้าสะใภ้มองไปที่เซิ่งอันหรานด้วยความแปลกใจ "ตระกูลใหญ่เช่นตระกูลอวี้ รุ่นของอวี้หนานเฉิงมีแค่อวี้หนานเฉิงเพียงคนเดียว หากว่าไร้ทายาทสืบทอด คงจะมีผู้รับผลประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว เด็กน้อยผู้นี้อาจจะโตขึ้นมาอย่างไม่ปลอดภัยก็ได้"

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซิ่งอันหรานก็ตกใจ เธอมองไปน้าสะใภ้ด้วยความประหลาดใจ

ก่อนหน้านี้เคยได้ยินคุณตาพูดว่า ตอนที่น้าสะใภ้อายุยังน้อย เธอเคยมีลูกมาก่อน ต่อมาก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน แต่ตั้งนั้นเป็นต้นมา ครอบครัวของคุณอาใหญ่และคุณอารองที่ก่อนหน้านี้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน จู่ๆ ก็ได้เลิกไปมาหาสู่กัน จนถึงตอนที่คุณลุงรองหย่าร้างและแต่งงานใหม่ ทั้งสองครอบครัวถึงได้มีการปรับความเข้าใจกัน

เมื่อก่อนก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ มานึกย้อนดูแล้วเรื่องเก่าๆก่อนหน้า เมื่อนึกถึงก็ทำให้รู้สึกเย็นยะเยือกได้เหมือนกัน

เมื่อต้องเผชิญกับความมั่งคั่งมหาศาล คนส่วนใหญ่มักจะสูญเสียสติ

น้าสะใภ้กำลังเตือนเธออยู่ อาการไข้สูงของจิ่งซีที่เกิดกับเขาในตอนเด็ก อาจจะไม่ใช่อุบัติเหตุหรือเรื่องบังเอิญ และเรื่องแบบนี้อาจจะเกิดขึ้นกับเขาได้ตลอด ไม่นานจากนั้น เธอก็สามารถปะติดปะต่อและนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้ ตอนที่เธอเจอจิ่งซีครั้งแรก ตอนที่แชนเดอเรียหล่นลงมา

“ระวังตัวไว้แต่เนิ่นๆ อย่าไปเชื่อหรือไว้ใจใคร” เสียงของน้าสะใภ้ดึงเอาสติของเซิ่งอันหราน กลับคืนมา

เธอมองไปที่น้าสะใภ้ เซิ่งอันหรานเห็นเธออยู่ในชุดกีฬาและกำลังยืนอยู่หน้าบาร์ในครัว เพื่อชงกาแฟ สาวใหญ่ในวัยห้าสิบปีรูปร่างสูงหุ่นดี มีออร่าที่ยอดเยี่ยม และสิ่งที่เธอพูดก็ฝังลึกอยู่ในใจของเซิ่งอันหราน

หลังจากพูดคุยกันสักพัก เซิ่งอันหรานก็ออกไปพร้อมกับเด็กๆทั้งสอง

“ฉันจะพาจิ่งซีและเสี่ยวซิงซิงไปก่อนนะคะ ถ้ามีเวลาว่างจะพาพวกเขามาเยี่ยมคุณใหม่ ”

“เดี๋ยวก่อน” น้าสะใภ้เดินเข้ามา พร้อมกับยื่นกุญแจให้ “ของ ๆ ตัวเองก็ต้องไปเอาด้วยตัวเอง”

“ฉันไม่ต้องการหรอกค่ะ”

“คราวที่แล้วตอนมาขอมรดกของแม่ไม่ใช่อย่างนี้นี่? นี่เป็นเพียงมรดกส่วนเล็กๆ ที่ของแม่เธอฝากไว้ที่ฉัน เพื่อให้เธอได้มีที่ซุกหัวนอนในตอนที่กลับมาจากต่างประเทศเท่านั้น อย่าทำตัวเหมือนเซิ่งชิงซาน ที่ไม่คิดที่จะเรียนรู้อะไรเลย อย่าทำนิสัยมองไม่เห็นหัวใครในตระกูลเหมือนอย่างที่เขาทำ? ทำไมน่ะเหรอ เงินของตระกูลแม้แต่แดงเดียว เขายังไม่คิดที่จะให้เธอเลย แล้วเธอคิดหรือว่า เขาจะยกสมบัติที่เขามีทั้งหมดให้เธอเป็นคนสืบทอดต่อจากเขา?”

หลังจากที่น้าสะใภ้ด่าทอต่อว่าคนน้อยใหญ่ของตระกูลเซิ่งทั้งหมดไปแล้วหนึ่งรอบ แต่ทว่าเธอไม่ได้ใช้คำหยาบคายแม้แต่คำเดียว ตอนที่เธอกำลังด่า เซิ่งอันหรานรู้สึกเหมือนว่ามีลมเย็นๆพัดผ่านบริเวณซอกคอ เธอรู้สึกหนาวพร้อมกับชาไปทั้งตัว ดังนั้นเธอจึงได้เพียงแค่กัดฟัน และยื่นมือออกไปรับเอากุญแจ

ตั้งแต่ที่เซิ่งอันหรานออกมาจากบ้านตระกูลเซิ่ง อวี้จิ่งซีก็นอนอยู่ในอ้อมแขนของเธอ ในขณะที่ เซิ่งเสี่ยวซิงเต็มไปด้วยพลังงานและดูมีชีวิตชีวามาก เธอถามคำถามด้วยความสงสัย "หม่าม้า ทำไมคุณยายสะใภ้ถึงได้เกลียดคุณตามากขนาดนั้น?"

“คุณยายสะใภ้ไม่ได้บอกหนูเหรอ ?”

“บอกแล้ว คุณยายสะใภ้บอกว่ามีความแค้นกับคุณตา และยังต่อว่าด่าทอคุณตาซะยกใหญ่ แต่หนูฟังไม่เข้าใจ แต่มันดูรุนแรงมาก” ซิงซิงน้อยกะพริบตา “แต่หม่าม้าเคยบอกว่า ไม่ให้ฟังความข้างเดียว ดังนั้นหนูจึงอยากฟังจากปากของหม่าม้า”

เซิ่งอันหรานยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เธอตีเบาๆไปที่หน้าผากของซิงซิงน้อย “อันนั้นไม่เรียกว่าฟังความข้างเดียว เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กไม่ควรถามมากเกินไป และก็ไม่ต้องไปแบกภาระไว้ซะทุกอย่าง ”

“แบกภาระอะไรคะ ?”

“แบกภาระคือ…”เซิ่งอันหรานชะงักเล็กน้อย เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

“การแบกภาระก็คือ ในทุกๆวันที่หนูต้องไปเรียน หนูจะต้องแบกกระเป๋าที่มีของ ในนั้นหนูจะพกเอาขนมที่หนูชอบไปด้วยส่วนหนึ่ง แต่ถ้าสิ่งที่หนูไม่ชอบแต่หนูจะต้องแบกมันไปด้วยทุกวัน สุดท้ายต้องมีวันหนึ่งที่หนูรู้สึกเหนื่อย แล้วถ้าให้หนูทิ้งมันส่วนหนึ่ง หนูจะทิ้งอะไร ? "

เซิ่งเสี่ยวซิงยังเด็กอยู่ แต่เธอก็กำลังคิดทบทวนกับคำถามนี้อย่างจริงจัง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็มองไปที่เซิ่งอันหราน และตอบว่า

“ทำไมต้องทิ้งด้วยล่ะ หนูสามารถขอให้คุณลุง หม่าม้าและจิ่งซี ช่วยหนูแบกได้!”

เซิ่งอันหรานตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็ยื่นมือออกไปลูกที่ศีรษะของเด็กน้อยด้วยความสับสน

ใช่ เมื่อเธอคิดว่ามันยากในการเลือกหรือแม้แต่เธอไม่มีทางเลือก อาจจะมีใครบางคนกำลังแบกภาระอันใหญ่หลวงแทนเธออยู่ เธอไม่เกลียดคุณพ่อของเธอที่ทิ้งคุณแม่ไป เพราะไม่มีใครบอกเรื่องนี้กับเธอ คนที่แบกภาระเหล่านี้ให้กับเธอ ก็คือ คุณตา อา และ น้าสะใภ้

เมื่อมาถึงบ้านเก่าแก่ของตระกูลอวี้ ก็ราวๆ สิบเอ็ดโมงได้

ตอนลงจากรถ เซิ่งอันหรานรู้สึกตกตะลึงกับรูปแบบการทักทายต้อนรับของที่นี่

มีคนรับใช้ทั้งหมด 20 คนแบ่งเป็นสองแถว ชายสิบคนอยู่ทางซ้ายและหญิงสิบคนอยู่ทางขวา โค้งคำนับพร้อมๆกัน

“ยินดีต้อนรับคุณผู้หญิง คุณชายน้อย คุณหนู”

เซิ่งอันหรานรู้สึกประหม่าเล็กน้อย มือซ้ายและขวาของเธอจูงมือเด็กน้อยทั้งสอง เธอไม่กล้าแม้แต่ที่จะเดินต่อ

อวี้หนานเฉิงออกมาจากบ้าน เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูแข็งทื่ออย่างผิดปกติของเซิ่งอันหราน เขาจึงกล่าวขึ้นว่า "พวกคุณกำลังทำอะไรกันอยู่? ไม่มีธุระที่ต้องไปทำหรือยังไง ?วิ่งมาตรวจสอบดูอะไรกัน ? "

คนรับใช้สองแถวจ้องตากัน ราวกับหนูที่กำลังเห็นแมว จากนั้นก็ทยอยเดินออกไปพร้อม ๆ กัน

เมื่อคนรับใช้ทยอยเดินออกจากตรงนั้นไปกันหมดแล้ว เซิ่งอันหรานจึงหัวเราะออกมา เธอเดินเข้าไปบ้านพร้อมกับอวี้หนานเฉิง เดินไปถามไป

“ครอบครัวตระกูลอวี้ของคุณทำธุรกิจสีดำหรือเปล่า ?ฉากแบบนี้ นึกว่าต้องการทำให้ฉันตกใจเล่น ”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อวี้หนานเฉิงก็มีสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์

“เมื่อกี้นี้ คนพวกนั้นที่อยู่ตรงหน้าประตู คือคนรับใช้ของคุณปู่ ทั้งส่งเสียงดังเอะอะ ทั้งชอบทำตัวน่ารำคาญ วันๆไม่ทำการทำงาน เอาแต่ซุบซิบนินทาและชอบทำเรื่องไร้สาระ ”

เซิ่งอันหรานเหลือบหันกลับไปมองอีกครั้ง และบังเอิญเห็นเด็กหญิงอีกคนซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้สีเขียวในสวน เด็กสาวกำลังแอบมองดูเธออยู่ เธอกวักมือเรียกเด็กสาวอย่างเป็นกันเอง แต่เด็กสาวก็ไม่ยอมแสดงตัวออกมา เอาแต่โบกมือให้กับเธอด้วยความเขินอาย

“อวี้อีอี ถ้าเธอยังแอบมองอยู่ดูอีก ฉันจะให้พ่อบ้านส่งเธอกลับไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในคืนนี้เลย ”

เด็กสาวที่อยู่ทางด้านหลังของต้นไม้สีเขียวก้มศีรษะและวิ่งหนีไป

เซิ่งอันหรานดึงแขนของอวี้หนานเฉิง"คุณทำให้เธอกลัว เธอก็แค่รู้สึกประหลาดใจ คุณ ไม่เห็นจะต้องขู่เธออย่างนั้นเลย? ดูท่าแล้ว เธอน่าจะอายุราวๆสิบสองถึงสิบสามปีเท่านั้น"

“เธอน่ะเหรอ กลัว ? ” อวี้หนานเฉิงขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกหงุดหงิด

“เฮ้? นี่ไม่ได้เป็นการใช้แรงงานเด็กหรอกนะ ? เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นคนรับใช้ในบ้านของคุณด้วยหรือเปล่า ?”จู่ๆ เซิ่งอันหรานก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เธอมองไปในทิศที่เด็กสาวคนนั้นวิ่งหนีไป แต่ก็มองไม่เห็นเธอเสียแล้ว

พ่อบ้านที่ทำการนำทางหันกลับมาอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า

“คุณอีอี เป็นนักเรียนสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่นายท่านรับมาอุปถัมภ์ เธอมาเมื่อหกปีที่แล้ว และใช้นามสกุลของนายท่าน เธอเป็นคนแปลกๆ และนายท่านก็ชอบเธอมากๆ ดังนั้นจึงรับเธอเป็นลูกสาวบุญธรรม ในท้ายที่สุดแล้ว คุณชายก็ต้องเรียกเธอว่า คุณอา”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน