“ถูกโรงแรมเซิ่งถังรังแกขนาดนี้ คุณยังอยากทำงานให้พวกเขาอีกเหรอ?”
น้ำเสียงของหลินมู่เหยียนค่อนข้างขี้เล่น
เซิ่งอันหรานขมวดคิ้ว ภายในใจของเธอดูว่างเปล่า
สิ่งที่โรงแรมเซิ่งถังปฏิบัติในครั้งนี้มันทำให้หลายคนรู้สึกเสียใจ เรื่องเหตุการณ์ไฟไหม้คราวนี้ ประเด็นสำคัญคือหน้าที่ของแผนกตรวจสอบความปลอดภัย และเซิ่งอันหรานไม่ได้เป็นคนรับผิดชอบในแผนกนี้ แต่ทำไมเธอจะต้องถูกพักงานด้วยล่ะ
เธอเองไม่ได้โง่ เรื่องนี้สามารถจินตนาการได้ว่าเป็นคำสั่งของใคร
อวี้หนานเฉิงปฏิเสธที่จะปล่อยให้เธอลาออก และใช้วิธีพักงานเธอ เพื่อป้องกันไม่ให้เธอหนีไป เห็นได้ชัดว่าใช้อำนาจตอบโต้เธอ
หลินมู่เหยียนทำเหมือนกับว่าตัวเองกำลังมอบโอกาสให้กับเธอ และพยายามทำให้รู้สึกเธอเชื่อมันในตัวเขา
“ฉันไม่รู้ว่าคุณจะให้ตำแหน่งอะไรกับฉันได้บ้าง คุณหลิน นอกเหนือจากด้านความสามารถของฉันแล้ว ฉันไม่ยอมรับความเห็นอกเห็นใจหรือการเลือกที่รักมักที่ชังอะไร”
เมื่อเซิ่งอันหรานพูดถึง การเลือกที่รักมักที่ชัง การแสดงออกของเส้าซือก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยสบอารมณ์
“แน่นอน ผมชอบความสามารถของคุณ และไม่รู้ว่าทำไมอวี้หนานเฉิงถึงให้คุณอยู่แค่ในตำแหน่งผู้จัดการล็อบบี้ สำหรับผม ผมคิดว่าคุณมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า”
คำพูดของหลินมู่เหยียนนั้นดูเป็นธรรมชาติมาก ราวกับว่าเขาเห็นความสามารถที่มันซ่อนอยู่ในตัวของเธอ แล้วต้องการที่จะดึงมันออกมา
"ตัวอย่างเช่น?"
“มาเป็นเลขาของผม”
"ไม่ได้……"
ก่อนที่เซิ่งอันหรานจะได้ตอบกลับไป เสียงของเส้าซือก็ออกดังขึ้นมาแทรก "พี่สาวของผมไม่สามารถเป็นเลขาให้กับคุณได้ พี่ เธอต้องไม่เห็นด้วยกับเขานะ เขาดูไม่ค่อยน่าไว้ใจ"
เมื่อเห็นท่าทางกังวลใจของเส้าซือ เซิ่งอันหรานก็ทำอะไรไม่ถูก เธอเหลือบไปมองที่หลินมู่เหยียน และพูดขึ้นว่า
“ดูสิ เสี่ยวซือรู้จักคุณนานกว่าฉันเสียอีก เขายังรู้สึกว่าคุณดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเลย แล้วฉันจะไปได้อย่างไร”
หลินมู่เหยียนไม่ได้อธิบายหรือตอบโต้ใดๆ เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "ดูท่าแล้วคุณยังไม่สามารถตัดใจต่อเซิ่งถังได้ ถ้ายังไม่อยากไปผมก็ไม่บังคับ แต่ถ้าคุณต้องการมาเมื่อไหร่ ก็มาได้ตลอดเวลา "
“ไม่ใช่ตัดใจไม่ได้ เพียงแต่บริษัทของคุณหลินไม่เหมาะกับฉันจริงๆ ฉันควรหาทางออกอื่นที่ดีกว่า”
ดวงตาของหลินมู่เหยียนเป็นประกายขึ้น
“นี่หมายความว่าคุณไม่ได้วางแผนที่จะทำงานในเซิ่งถังต่อจริงๆเหรอ ?”
"ขอโทษค่ะ แต่ยังบอกไม่ได้"
เซิ่งอันหรานยิ้มและมองไปที่หลินมู่เหยียน เธอไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้
แม้ว่าตระกูลหลินและตระกูลอวี้มีความสัมพันธ์อันต่อดี แต่ก็เป็นคู่แข่งทางด้านธุรกิจด้วย หากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ภายในบริษัท ในฐานะที่เธอเป็นพนักงานของเซิ่งถังกรุ้ป เธอไม่จำเป็นจะต้องพูดคุยกับเขามากเกินไป
และเธอมักจะรู้สึกอยู่เสมอหลินว่ามู่เหยียน ดูมีความคิดที่มีไม่ดีบางแฝงอยู่ ดังนั้นจึงควรระวังเขาไว้จะดีกว่า
“เธอตั้งใจจะลาออกจากเซิ่งถังจริง ๆ เหรอ?”
ทันทีที่กลับถึงบ้าน ถานซูจิ้งถามก็ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในรถ
เซิ่งอันหรานเปลี่ยนรองเท้าแตะและไปที่บาร์ในครัวเพื่อต้มน้ำ ทิ้งถานซูจิ้งไว้ข้างหลัง "อืม มันเป็นเรื่องส่วนตัว จะลากเข้าไปยุ่งกับเรื่องงานมันก็คงไม่ดี"
“แล้วทำไมเธอถึงไม่ตอบตกลงกับหลินมู่เหยียนไปล่ะ ? การไปเป็นเลขาของเขาน่าจะดีกว่าการเป็นผู้จัดการล็อบบี้ในเซิ่งถังนะ ”
ถานซูจิ้งถอดชุดราตรีออก จากนั้นก็หยิบเสื้อยืดสีขาวขึ้นมาสวมใส่ แล้วนั่งบนโซฟาโดยเผยให้เห็นต้นขาขาวๆทั้งสองข้าง
“เขาคิดว่าเขาคงจะดึงเสี่ยวซือไปไม่สำเร็จ ก็เลยอยากดึงฉันเข้าไปร่วมด้วย เธอไม่เห็นเหรอ? ”
หลินมู่เหยียนเป็นนักธุรกิจที่ไม่ใช่คนมีน้ำใจมากเท่าไหร่ เมื่อเห็นว่าเธอตกงาน ก็เลยอยากลองเสนองานดีๆให้กับเธอดู แต่นี่เห็นได้ชัดเลยว่ามันคือการหลอกใช้ประโยชน์จากเธอต่างหาก
ถานซูจิ้งเลิกคิ้วขึ้น เธอรู้สึกไม่เห็นด้วย "เธอคิดมากเกินไปหรือเปล่า การที่เธอคิดมากเกินไป มันไม่ดีต่อทั้งตัวของเธอและคนรอบข้างนะ ฉันคิดว่า ระหว่างเธอกับอวี้หนานเฉิง ลองเปิดใจค่อยๆคุยกันก่อนดีไหม อย่าเก็บไว้คนเดียวแบบนี้เลย"
น้ำเดือดแล้ว เซิ่งอันหรานเทน้ำสองแก้วแล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟาของห้องนั่งเล่น พร้อมกับยื่นแก้วน้ำให้ถานซูจิ้ง
“พูดน่ะมันง่าย ถ้าจะให้พูดจริงๆก็พูดได้ แต่มันไม่ใช่ตอนนี้ หากว่าเขาไม่อยากจะอยู่กับฉันต่อไปแล้ว และหากว่าฉันบอกกับเขาว่าเด็กทั้งสองคือลูกของเขา เขาจะต้องรับพวกเด็กๆกลับไปดูแลแน่ ฉันรู้ดีว่าฉันมีความสามารถแค่ไหน หากว่าจะต้องไปสู้คดีกันในศาล ฉันก็คงจะแพ้คดีอย่างแน่นอน”
ครอบครัวตระกูลอวี้เป็นที่หนึ่งในเมืองจินหลิง หากว่าอวี้หนานเฉิงต้องการการดูแลเสี่ยวซิงซิง จริงๆ เธอก็คงทำได้เพียงแค่ต้องทำตาม
"เธออย่าคิดอะไรฟุ้งซ่านแบบนั้นสิ ? ถ้าอวี้หนานเฉิงรู้ว่าเด็กสองคนเป็นของลูกของเขาจริงๆ อย่างนั้นเขาก็น่าจะหมดความสงสัยเรื่องที่เธอทำดีกับลูกชายของเขาก่อนหน้านี้แล้วสิ จริงไหม ?เรื่องก่อนหน้านี้ที่พวกเธอเข้าใจผิดกันก็จะได้ถูกปรับความเข้าใจกันใหม่ "
“เรื่องมันไม่ได้เป็นแบบนั้นน่ะสิ ” เซิ่งอันหรานขมวดคิ้ว
“ถ้าอย่างนั้นเธอลองพูดมาให้ฉันฟังสิ เธอคิดว่ายังไง? แล้วเธอต้องการให้อวี้หนานเฉิงทำอย่างไร ?”
ถานซูจิ้งยืดตัวขึ้น เป็นครั้งแรกที่เธอไม่เข้าข้างเซิ่งอันหราน "เธอมักจะคิดอยู่ตลอดว่าอวี้หนานเฉิงบังคับและต้องการให้เธอทำนูนทำนี่มากเกินไป
ชอบคิดว่าเขาปฏิบัติต่อเธออย่างไม่ยุติธรรม แล้วเธอล่ะ ปฏิบัติกับเขาอย่างยุติธรรมมากแค่ไหนกัน? เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสี่ยวซิงซิงเป็นลูกสาวแท้ๆของตัวเอง "
เซิ่งอันหรานเงียบ บรรยากาศในห้องเงียบสงบมาก
เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ถานซูจิ้งก็ลุกขึ้นและตบเบาๆที่ไหล่ของเธอ
“เธอลองคิดดูเอาเองก็แล้วกัน เพราะมันเป็นเรื่องของตัวเธอเอง ข้อเสนอแนะของฉัน ฉันก็แค่พูดลอยๆไปเท่านั้น หากว่ามีการฟ้องร้องคดีกันเกิดขึ้นจริงๆ เธอลืมไปแล้วหรือว่า ที่ต่างประเทศยังมีกู้เจ๋อ เขาคงไม่ยอมปล่อยให้เสี่ยวซิงซิงไปอยู่ภายใต้การดูแลของคนอื่นหรอก ”
หลังจากที่ถานซูจิ้งออกไปแล้ว เซิ่งอันหรานก็นั่งอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่นจนดึกดื่น
ในความสัมพันธ์นี้กับอวี้หนานเฉิง เธอมักจะชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย แต่เธอไม่รู้สึกว่ามีที่อะไรผิดปกติ เธอในฐานะแม่ แม่ที่ถูกขโมยลูกไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว แม้จะเคียดแค้นอวี้หนานเฉิงมาแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็ยังมีสิทธิ์ในฐานะที่เธอเป็นแม่ด้วยเช่นกัน
ในห้องนอนใหญ่ ถานซูจิ้งมองดูหน้าจอโทรศัพท์โชว์เบอร์สายที่ไม่ได้รับ ดังนั้นเธอจึงกดโทรกลับ
"มีธุระอะไร ?"
เสียงของเกาจ้านดังขึ้นจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง แสดงถึงความตื่นเต้นและดีใจอย่างมาก
“พรุ่งนี้ผมก็จะกลับไปแล้ว หลังจากนั้นจะเป็นวันหยุดพักร้อนของผม ออกไปเที่ยวกับผมเถอะ”
“วันหยุดพักร้อนของคุณ มันไม่ได้หมายความว่าฉันจะมีวันหยุดพักร้อนแบบคุณด้วยนี่ เห็นฉันดูว่างมากเลยหรือยังไง ถึงได้มาชวนไปเที่ยวกัคุณแบบนี้ ”
“ผมได้ยินมาว่าพี่เฉิงทะเลาะกับอันหรานอีกแล้ว คุณไม่อยากช่วยให้พวกเขาคืนดีกันเหรอ ?พวกเราออกไปเที่ยวกัน และพาพวกเขาไปด้วยดีไหม?”
“มันเรื่องของฉันเหรอ?” ถานชูจิ้งพูดอย่างเฉยเมย “พวกเขาจะทะเลาะกันมันก็เป็นเรื่องของเพวกขา อยากทะเลาะก็ทะเลาะไปสิ คุณอยากเข้าไปยุ่ง ก็ไปคนเดียวเถอะ ฉันไม่ทำอย่างนั้นแน่ "
เกาจ้านทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด
“ระหว่างเที่ยวแบบผ่อนคลายกับแบบพจญภัย คุณเลือกแบบไหนดี?”
"พจญภัย "
“เอาเป็นว่าตกลงแล้วนะ ผมจะเป็นคนเตรียมของให้เอง ส่วนคุณเตรียมตัวให้พร้อมก็พอ”
ถานซูจิ้งพูดลอยๆออกมา เกาจ้านประสบโอกาสในทันที ฟังจากน้ำเสียงของเธอแล้ว เขาสามารถวิเคราะห์ได้ว่าน้ำเสียงของถานซูจิ้งในตอนนี้ เธอพอใจหรือรู้สึกรำคาญ และไม่สำคัญว่าเธอจะว่าพูดอะไร
เช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนที่ถานซูจิ้งจะออกไปทำงาน เธอได้เกริ่นๆเรื่องที่จะออกไปท่องเที่ยวไว้บ้างแล้ว
“ในช่วงนี้เราออกไปเที่ยวแบบพจนภัยก็ดีนะ คนไม่มาก พวกเธอสองคนจะได้ลองคุยและปรับความเข้าใจกัน ”
เซิ่งอันหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็พยักหน้า
ถานซูจิ้งสามารถเห็นได้จากขอบตาคล้ำๆของเธอ และรู้ทันทีว่าเมื่อคืนนี้เซิ่งอันหรานนอนไม่หลับ เกรงว่าน่าจะคิดถึงเรื่องไพ่ใบสุดท้ายที่อยู่ในมือ
“บ่ายนี้เธอมีธุระอะไร?”ถานซูจิ้งถามอย่างเป็นกันเองก่อนที่เธอจะออกไป
“ว่าจะไปดูลูกๆที่บ้านของคุณท่านอวี้สักหน่อย”
“เธอทิ้งลูกสาวไว้ที่บ้านตระกูลอวี้ ก็ไม่ใช่เพราะอยากจะใช้ลูกสาวเป็นข้ออ้างเพื่อไปเยี่ยมลูกชายหรอกจริงไหม? ร้ายนักนะเธอน่ะ”
“นั่นลูกของฉันนะ”
“ก็ใช่ๆ นั่นเป็นลูกของเธอ ไม่มีใครปฏิเสธได้เหรอก มีแต่เธอเองที่ไม่กล้ายอมรับความจริง ถูกไหม ?”
ถานซูจิ้งหยิบกุญแจออกมา
“ฉันไม่คุยเรื่องไร้สาระกับเธอแล้ว จะไปทำงานสายอยู่แล้วเนี่ย บายนะ”
"ไม่ส่ง"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน