ด้วยถ้อยคำประชดประชันของถานซูจิ้ง ทำให้เซิ่งอันหรานรู้สึกอึดอัดมาก
ดูเหมือนว่าตัวเองจะกลายเป็นคนทำอะไรเพื่อหวังประโยชน์จริงๆ ทำเรื่องที่เห็นแก่ตัวมากมายและจงใจปิดบังอวี้หนานเฉิง แต่ที่เธอทำก็เพื่อต้องการอยู่ใกล้กับลูกทั้งสองไม่ใช่หรือ?
ด้วยความสงสัยในตัวเอง ในตอนบ่ายขณะที่เธอเจอกับเด็กสองคนที่บ้านเก่าแก่ของตระกูลอวี้ เธอเกิดรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ชายชรามักพูดกับเธอว่า เธอดีกับอวี้จิ่งซีจริงๆ จู่ๆใบหน้าของเธอก็ร้อนผาดขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
จิ่งซีเป็นลูกชายแท้ๆของเธอ แล้วจะทำไมเธอจะไม่ดีกับเขาล่ะ?
“หม่าม้า นานมากแล้วที่หนูไม่ได้เจอหม่าม้ากับคุณลุงมาด้วยกัน”
ในช่วงพักกลางวันเซิ่งเสี่ยวซิงและอวี้จิ่งซีวิ่งเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเซิ่งอันหราน เซิ่งเสี่ยวซิงเล่าอะไรต่างๆนานาและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ดูเหมือนเธอจะชอบสภาพแวดล้อมในบ้านเก่าแก่ของตระกูลอวี้แห่งนี้
“เขายุ่งมาก ลูกไม่รู้เหรอ? หลังจากที่โรงแรมเกิดไฟไหม้ ทำให้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการ”
“แต่ว่า หม่าม้า แล้วทำไมหม่าม้าถึงไม่ไปทำงานล่ะ?”
“หม่าม้าหยุดพักร้อน เป็นแบบนี้จะได้มีเวลาเล่นเป็นเพื่อนหนูเยอะๆ หนูไม่ชอบเหรอ?”
"ชอบ"
เมื่อพูดถึงเรื่องไฟไหม้ เซิ่งอันหรานก็หันกลับมามองอวี้จิ่งซีและถามเขาขึ้นว่า "จิ่งซี ที่เธออยู่ในห้องเย็นในวันนั้น ฉันไม่มองไม่เห็นเธอจริงๆ ฉันขอโทษด้วยจริงๆนะ"
อวี้จิ่งซีที่เดิมทีกำลังฟังทั้งสองคุยกันอย่างเงียบๆ เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเซิ่งอันหราน เขาก็ลุกขึ้นจากเตียง และหยิบกระดานวาดภาพเล็กๆ ของเขาขึ้นมา พร้อมกับเขียนประโยคหนึ่งว่า “ไม่เป็นไร หากว่าหม่าม้ามองเห็นผม หม่าม้าจะต้องพาผมออกไปด้วยแน่ "
เมื่อเห็นท่าทางที่ฉลาดและมีไหวพริบของจิ่งซี เซิ่งอันหรานจึงยื่นมือออกไปลูบศีรษะของเขาด้วยความพึงพอใจ "จิ่งซีเด็กดี รู้ใช่ไหมว่าหม่าม้าจะต้องไม่ทิ้งเธอไปไหนแน่"
อวี้จิ่งซีเขียนลงบนกระดานวาดภาพอีกครั้ง
"จริงๆ เหรอ ???"
เขาเขียนเครื่องหมายคำถามถึงสามอันติดกัน บวกกับใบหน้าน้อยๆที่ดูตื่นเต้น ดูเหมือนเขาจะไม่เชื่อว่าเซิ่งอันหรานจะอยู่กับเขาตลอดไป
"แน่นอนจ๊ะ"
เซิ่งอันหรานไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกกังวลอย่างนี้ ตอนแรกคิดว่าเขาคงยังไม่ลืมภาพกองเพลิงภาพนั้น ก็เลยทำให้เขารู้สึกเป็นกังวล
แต่ทว่า เซิ่งเสี่ยวซิงที่อยู่ทางด้านข้างกลับถอนหายใจเหมือนผู้ใหญ่ และพูดขัดจังหวะความคิดของเธอขึ้นว่า "พี่จิ่งซี กังวลว่าคุณลุงจะชอบคนอื่น จริงๆแล้วเรื่องนี้หนูก็รู้สึกกังวลอยู่เหมือนกัน "
เซิ่งอันหรานชะงัก หลังจากที่ได้ยินเด็กน้อยทั้งสองพูดคุยกันอยู่นาน เธอจึงได้รู้ว่าคนตระกูลหลินมาที่บ้านเก่าแก่ของตระกูลอวี้อยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะคุณแม่ของหลินมั่นหัน ขยันมาค่อนข้างบ่อย และเอาแต่พูดถึงสัญญาเรื่องงานแต่งงานที่เคยพูดกันไว้เมื่อหลายปีก่อน ครั้งสองครั้งแรก ชายชราสามารถปกปิดความลับนี้จากเด็กทั้งสองได้ แต่บ่อยเข้าเขาก็ไม่สามารถปกปิดความลับจากเด็กทั้งสองได้อีกต่อไป
อวี้จิ่งซีดูมีสีหน้าท่าทางที่หดหู่ จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงและเขียนคำประโยคหนึ่งลงบนกระดานวาดภาพ " ผมไม่ต้องการให้คนอื่นมาเป็นแม่ให้กับผม"
ท่าทางที่น่าสงสารของเด็กน้อย ทำให้เซิ่งอันหรานรู้สึกปวดใจ
เซิ่งอันหรานกอดเขาด้วยความรู้สึกสงสาร และตอบรับเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า “หม่าม้าจะไม่ยอมให้คนอื่นมาทำหน้าที่เป็นแม่ของจิ่งซีหรอก หากมีวันนั้นจริงๆ หม่าม้าจะพาจิ่งซีไปอยู่ด้วย”
หลังจากที่พ่อบ้านของตระกูลอวี้เดินออกมาจากห้องอ่านหนังสือของชายชรา เขาก็โทรศัพท์อยู่หลายสาย ก่อนการรับประทานอาหารค่ำ ที่หน้าบ้านเก่าแก่ของบ้านตระกูลอวี้มีรถจอดอยู่เต็มไปหมด ที่ห้องนั่งเล่นก็เต็มไปด้วยญาติๆและคนสนิทของบ้านตระกูลอวี้
“นี่ก็ไม่ใช่เทศกาลหรือมีวันสำคัญอะไร แล้ววันนี้คุณท่านเรียกพวกเรามาทำไม?”
“ทันทีที่ฉันได้รับสายก็รีบตรงมาที่เลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คิดว่าพวกคุณแล้ว”
“หรือมีอะไรเกิดขึ้นกับบริษัทหรือเปล่า ?”
“ก่อนหน้านี้ ได้ยินมาว่าเกิดไฟไหม้ในโรงแรมภายใต้กลุ่มบริษัทไม่ใช่เหรอ ฉันเคยบอกไปแล้วว่า มันไม่ปลอดภัยที่จะทิ้งบริษัทใหญ่ขนาดนี้ให้หนานเฉิงเป็นคนรับผิดชอบเพียงคนเดียว”
ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวาย มีชายคนหนึ่งอายุน่าจะราวๆห้าสิบปี นั่งอยู่เงียบๆคนเดียว
ชายกลางคนคนนั้นสามารถทำให้คนที่ได้พบเห็นเขารู้สึกถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวของเขา แต่ในมือของเขากลับกำลังเล่นลูกปัดโพธิ์อยู่ และดูเหมือนว่าเขาจะเล่นมันมาหลายปีแล้ว เห็นได้ชัดว่าลูกปัดเปลี่ยนจากสีดำกลายเป็นสีขาวเกือบจะทั้งหมดแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน