ผูกรักท่านประธานพันล้าน นิยาย บท 182

ด้วยถ้อยคำประชดประชันของถานซูจิ้ง ทำให้เซิ่งอันหรานรู้สึกอึดอัดมาก

ดูเหมือนว่าตัวเองจะกลายเป็นคนทำอะไรเพื่อหวังประโยชน์จริงๆ ทำเรื่องที่เห็นแก่ตัวมากมายและจงใจปิดบังอวี้หนานเฉิง แต่ที่เธอทำก็เพื่อต้องการอยู่ใกล้กับลูกทั้งสองไม่ใช่หรือ?

ด้วยความสงสัยในตัวเอง ในตอนบ่ายขณะที่เธอเจอกับเด็กสองคนที่บ้านเก่าแก่ของตระกูลอวี้ เธอเกิดรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ชายชรามักพูดกับเธอว่า เธอดีกับอวี้จิ่งซีจริงๆ จู่ๆใบหน้าของเธอก็ร้อนผาดขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก

จิ่งซีเป็นลูกชายแท้ๆของเธอ แล้วจะทำไมเธอจะไม่ดีกับเขาล่ะ?

“หม่าม้า นานมากแล้วที่หนูไม่ได้เจอหม่าม้ากับคุณลุงมาด้วยกัน”

ในช่วงพักกลางวันเซิ่งเสี่ยวซิงและอวี้จิ่งซีวิ่งเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเซิ่งอันหราน เซิ่งเสี่ยวซิงเล่าอะไรต่างๆนานาและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ดูเหมือนเธอจะชอบสภาพแวดล้อมในบ้านเก่าแก่ของตระกูลอวี้แห่งนี้

“เขายุ่งมาก ลูกไม่รู้เหรอ? หลังจากที่โรงแรมเกิดไฟไหม้ ทำให้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการ”

“แต่ว่า หม่าม้า แล้วทำไมหม่าม้าถึงไม่ไปทำงานล่ะ?”

“หม่าม้าหยุดพักร้อน เป็นแบบนี้จะได้มีเวลาเล่นเป็นเพื่อนหนูเยอะๆ หนูไม่ชอบเหรอ?”

"ชอบ"

เมื่อพูดถึงเรื่องไฟไหม้ เซิ่งอันหรานก็หันกลับมามองอวี้จิ่งซีและถามเขาขึ้นว่า "จิ่งซี ที่เธออยู่ในห้องเย็นในวันนั้น ฉันไม่มองไม่เห็นเธอจริงๆ ฉันขอโทษด้วยจริงๆนะ"

อวี้จิ่งซีที่เดิมทีกำลังฟังทั้งสองคุยกันอย่างเงียบๆ เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเซิ่งอันหราน เขาก็ลุกขึ้นจากเตียง และหยิบกระดานวาดภาพเล็กๆ ของเขาขึ้นมา พร้อมกับเขียนประโยคหนึ่งว่า “ไม่เป็นไร หากว่าหม่าม้ามองเห็นผม หม่าม้าจะต้องพาผมออกไปด้วยแน่ "

เมื่อเห็นท่าทางที่ฉลาดและมีไหวพริบของจิ่งซี เซิ่งอันหรานจึงยื่นมือออกไปลูบศีรษะของเขาด้วยความพึงพอใจ "จิ่งซีเด็กดี รู้ใช่ไหมว่าหม่าม้าจะต้องไม่ทิ้งเธอไปไหนแน่"

อวี้จิ่งซีเขียนลงบนกระดานวาดภาพอีกครั้ง

"จริงๆ เหรอ ???"

เขาเขียนเครื่องหมายคำถามถึงสามอันติดกัน บวกกับใบหน้าน้อยๆที่ดูตื่นเต้น ดูเหมือนเขาจะไม่เชื่อว่าเซิ่งอันหรานจะอยู่กับเขาตลอดไป

"แน่นอนจ๊ะ"

เซิ่งอันหรานไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกกังวลอย่างนี้ ตอนแรกคิดว่าเขาคงยังไม่ลืมภาพกองเพลิงภาพนั้น ก็เลยทำให้เขารู้สึกเป็นกังวล

แต่ทว่า เซิ่งเสี่ยวซิงที่อยู่ทางด้านข้างกลับถอนหายใจเหมือนผู้ใหญ่ และพูดขัดจังหวะความคิดของเธอขึ้นว่า "พี่จิ่งซี กังวลว่าคุณลุงจะชอบคนอื่น จริงๆแล้วเรื่องนี้หนูก็รู้สึกกังวลอยู่เหมือนกัน "

เซิ่งอันหรานชะงัก หลังจากที่ได้ยินเด็กน้อยทั้งสองพูดคุยกันอยู่นาน เธอจึงได้รู้ว่าคนตระกูลหลินมาที่บ้านเก่าแก่ของตระกูลอวี้อยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะคุณแม่ของหลินมั่นหัน ขยันมาค่อนข้างบ่อย และเอาแต่พูดถึงสัญญาเรื่องงานแต่งงานที่เคยพูดกันไว้เมื่อหลายปีก่อน ครั้งสองครั้งแรก ชายชราสามารถปกปิดความลับนี้จากเด็กทั้งสองได้ แต่บ่อยเข้าเขาก็ไม่สามารถปกปิดความลับจากเด็กทั้งสองได้อีกต่อไป

อวี้จิ่งซีดูมีสีหน้าท่าทางที่หดหู่ จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงและเขียนคำประโยคหนึ่งลงบนกระดานวาดภาพ " ผมไม่ต้องการให้คนอื่นมาเป็นแม่ให้กับผม"

ท่าทางที่น่าสงสารของเด็กน้อย ทำให้เซิ่งอันหรานรู้สึกปวดใจ

เซิ่งอันหรานกอดเขาด้วยความรู้สึกสงสาร และตอบรับเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า “หม่าม้าจะไม่ยอมให้คนอื่นมาทำหน้าที่เป็นแม่ของจิ่งซีหรอก หากมีวันนั้นจริงๆ หม่าม้าจะพาจิ่งซีไปอยู่ด้วย”

หลังจากที่พ่อบ้านของตระกูลอวี้เดินออกมาจากห้องอ่านหนังสือของชายชรา เขาก็โทรศัพท์อยู่หลายสาย ก่อนการรับประทานอาหารค่ำ ที่หน้าบ้านเก่าแก่ของบ้านตระกูลอวี้มีรถจอดอยู่เต็มไปหมด ที่ห้องนั่งเล่นก็เต็มไปด้วยญาติๆและคนสนิทของบ้านตระกูลอวี้

“นี่ก็ไม่ใช่เทศกาลหรือมีวันสำคัญอะไร แล้ววันนี้คุณท่านเรียกพวกเรามาทำไม?”

“ทันทีที่ฉันได้รับสายก็รีบตรงมาที่เลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คิดว่าพวกคุณแล้ว”

“หรือมีอะไรเกิดขึ้นกับบริษัทหรือเปล่า ?”

“ก่อนหน้านี้ ได้ยินมาว่าเกิดไฟไหม้ในโรงแรมภายใต้กลุ่มบริษัทไม่ใช่เหรอ ฉันเคยบอกไปแล้วว่า มันไม่ปลอดภัยที่จะทิ้งบริษัทใหญ่ขนาดนี้ให้หนานเฉิงเป็นคนรับผิดชอบเพียงคนเดียว”

ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวาย มีชายคนหนึ่งอายุน่าจะราวๆห้าสิบปี นั่งอยู่เงียบๆคนเดียว

ชายกลางคนคนนั้นสามารถทำให้คนที่ได้พบเห็นเขารู้สึกถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวของเขา แต่ในมือของเขากลับกำลังเล่นลูกปัดโพธิ์อยู่ และดูเหมือนว่าเขาจะเล่นมันมาหลายปีแล้ว เห็นได้ชัดว่าลูกปัดเปลี่ยนจากสีดำกลายเป็นสีขาวเกือบจะทั้งหมดแล้ว

“คุณพ่อ คราวนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ?”

ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ทางด้านข้าง ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ ใบหน้าของเขาดูมีความสงสัยเป็นอย่างมาก“ท่านไม่ได้ติดต่อพวกเรามาสองสามปีแล้ว คราวนี้จู่ๆ ก็โทรเรียกพวกเรามา หรือว่ามีเรื่องอะไร?”

ดวงตาของชายวัยกลางคนดูเย็นชา และน้ำเสียงของเขาก็ดูเยือกเย็นมาก

"ใครจะไปรู้ล่ะ? รอดูเถอะ คงจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆแน่ "

หลังจากที่คนรับใช้เดินเข้าเคาะประตูเพื่อบอกให้เตรียมตัวไปทานอาหาร เซิ่งอันหราน ก็พาเด็กสองคนที่กำลังง่วงเหงาหาวนอนไปล้างหน้าล้างตา จากนั้นจึงไปที่ห้องอาหาร แต่เธอคิดไม่ถึงว่าโต๊ะกลมขนาดใหญ่สองโต๊ะในห้องรับประทานอาหารจะมีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด ตอนแรกเธอนึกว่าตัวเองมาผิดที่เสียแล้ว

“คุณท่านครับ คุณผู้หญิงมาถึงแล้ว”

ประโยควลีที่คนรับใช้กล่าวว่า 'คุณผู้หญิง' มันดึงดูดความสนใจของทุกคนในที่อยู่ในสถานที่นั้น และเกิดมีเสียงซุบซิบมากมาย

อย่างที่ทุกคนรู้ ตระกูลอวี้มีเพียงอวี้หนานเฉิงเป็นทายาทแค่คนเดียว ตอนนี้เขาอายุสามสิบปีกว่าแล้วและยังไม่ได้แต่งงาน เขามีลูกชายที่ไม่ทราบถึงที่มา และไม่เคยได้ยินว่าเขามีภรรยามาก่อนเลย!

คุณผู้หญิงจากไหนกัน ?

“อันหราน มานี่สิ มานั่งตรงนี้”

ชายชรากวักมือเรียกเซิ่งอันหราน

เซิ่งอันหรานพยายามสงบสติลง ท่ามกลางสายตาของทุกคน เธอเกิดความลังเลที่จะเดินเข้าไปนั่งทางด้านข้างของชายชรา แต่หลังจากที่เธอพาเด็กทั้งสองนั่งลงตรงด้านข้างของชายชราแล้ว เธอก็พูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “คุณปู่ ฉันไม่รู้ว่าท่านจะมีแขกมาที่บ้านตอนเย็น ให้ฉันจะพาเด็กๆกลับไปก่อนดีไหม เดี๋ยวครั้งหน้าจะพาพวกเขามาเยี่ยมท่านใหม่”

"ไม่ต้องหรอก"

ชายชรายิ้มและมองไปที่เซิ่งอันหรานด้วยท่าทางสบายใจ จากนั้นจึงยืนขึ้นด้วยท่าทางที่กระฉับกระเฉง

“วันนี้ที่ฉันโทรให้ทุกคนมาที่นี่ เพราะว่าฉันมีเรื่องที่จะประกาศ และทุกคนควรที่จะได้รับรู้โดยทั่วกัน หนานเฉิงหลานชายที่ฉันเลี้ยงโตมากับมือ

อายุสามสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่เคยแต่งงานมาก่อนเลย โตมาก็ต้องทำงานเลย นี่เป็นสิ่งที่คาใจฉันมาโดยตลอด ”

เมื่อพูดมาถึงเรื่องนี้ เซิ่งอันหรานได้ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง ในสมองของเธอรู้สึกเกิดความสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก

“ทุกท่านคงได้ยินแล้ว ที่คนรับใช้ในบ้านเรียกว่าเธอว่า คุณผู้หญิงอันหราน ฉันคิดว่าถึงเวลาต้องแนะนำเธออย่างเป็นทางการแล้ว เราจะปล่อยให้หญิงสาวคนนี้อยู่เคียงข้างหนานเฉิงโดยไม่มีตำแหน่งหรือฐานะไม่ได้ ครอบครัวตระกูลอวี้ของเราไม่ใช่คนที่ไม่รู้กาลเทศะและไร้ซึ่งสามัญสำนึก "

ด้วยความโกลาหล ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจคนแขกที่นั่งร่วมโต๊ะคนอื่นๆ

“คุณปู่สาม หมายถึงเธอเป็นภรรยาของพี่หนานเฉิงอย่างนั้นเหรอ ?”

“ใช่แล้ว แม้ว่างานแต่งงานจะยังไม่ถูกจัด แต่ว่าเรื่องนี้ฉันเดี๋ยวฉันจะเป็นคนกำหนดวัน ดังนั้นฉันจึงอยากจะประกาศให้ทุกคนทราบโดยทั่วกันก่อนว่า เซิ่งอันหรานบุตรสาวของเซิ่งซือกรุ้ป ตอนนี้เธอเป็นคู่หมั้นของอวี้หนานเฉิงอย่างเป็นทางการแล้ว และอยากให้ญาติมิตรคนในครอครัวได้มีโอกาสเห็นหน้าเธอสักครั้ง พอถึงกำหนดวันแต่งงานแล้ว ฉันจะเรียนเชิญทุกคน"

ราวกันว่าเซิ่งอันหรานกำลังนั่งอยู่บนหัวเข็มหมุด เธอขยับตัวหรือพูดอะไรไม่ออกเลย

การโต้ตอบกลับในตอนนี้อาจจะเป็นการทำให้ชายชราเสียหน้า แต่หากเธอยอมรับในสถานการณ์แบบนี้ล่ะก็ ตอนนี้เธอกำลังทะเลาะกันกับอวี้หนาเฉิงอยู่นะ มันน่าโมโหชะมัด

แต่หลังจากผ่านการคิดทบทอีกครั้งอีกครั้ง เธอก็เข้าใจทันทีว่าทำไมชายชราถึงทำเช่นนี้

แปดสิบเปอร์เซ็นต์ อาจเป็นเพราะตระกูลหลินที่มาที่นี่บ่อยๆ เรื่องอะไรก็ไม่สามารถปิดบังชายชราผู้นี้ได้ เขาจะต้องรู้เรื่องที่เธอกำลังทะเลาะกับอวี้หนานเฉิงอยู่แน่ ดังนั้นจึงจงใจใช้วิธีนี้เพื่อรักษาความมั่นคงของตำแหน่งภรรยาอวี้หนานเฉิงให้กับเธอ

ขิงแก่ย่อมจะเผ็ดกว่า

หลังจากชายชราพูดจบไปครู่หนึ่ง ก็มีคนนำยืนขึ้นพร้อมกับเอ่ยปากเรียกเซิ่งอันหรานว่า "พี่สะใภ้" ทำเอาเซิ่งอันหรานได้ฟังแล้วรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว

คนอื่นก็ยืนขึ้นมาตามๆกัน

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดี ขอแสดงความยินดีด้วย ฉันดื่มสักแก้วเพื่อเป็นเกียรติแก่ลูกพี่ลูกน้อง...”

ญาติของคนในตระกูลอวี้ลุกขึ้นแสดงความยินดีกับเซิ่งอันหรานทีละคนๆ หลังจากได้ฟังพ่อบ้านแนะนำญาติในตระกูลให้กับเธอทีละคนๆ และหลังจากดื่มไวน์ไปสองสามแก้ว เธอก็รู้สึกเวียนหัว สุดท้ายเซิ่งอันหรานไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองออกมาจากห้องทานอาหารตั้งแต่เมื่อไหร่และออกมายังไง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน